% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_pain_foot.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %>
การวิ่งเท้าเปล่ากับสวมรองเท้าวิ่งต่างกันอย่างไร คิดว่าหลายๆ คน คงอยากทราบ เพราะนักกีฬาที่วิ่งเก่งและมีชื่อเสียงอย่าง โซลา บัดด์ ยังวิ่งเท้าเปล่าเลย และก็วิ่งได้ดีด้วย สามารถชนะหลายครั้งหลายหน ขอตอบว่าดีแน่ แต่ขอให้พิจารณา กันเอาเองดังนี้ ตามทฤษฎีนั้น นักวิ่งที่มีเท้าปกติ การวิ่งเท้าเปล่ามีโอกาสเกิดการบาดเจ็บน้อยกว่า เพราะขณะที่วิ่งและเท้าสัมผัสพื้น มุมเอียงของข้อเท้าจะน้อยกว่า การวิ่งสวมรองเท้า ยิ่งเท้าที่มีพื้นนิ่มมากๆ ด้วยแล้ว มุมเอียงของข้อเท้าจะยิ่งมากขึ้นไปอีก ทำให้มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บได้ตั้งแต่ เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อตะโพก จนกระทั่งหลังได้ แต่ที่สำคัญอีกอย่างที่เกี่ยวข้องก่อนการตัดสินใจก็คือ พื้นวิ่ง ซึ่งต้องเหมาะสมจริง ๆ ต่อการวิ่งและเทคนิคการวิ่งจะต้องถูกต้องด้วย จึงมั่นใจได้ว่า ไม่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บอื่นๆ อีกมากมาย ที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าไม่สวมรองเท้า นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว ยังต้องคำนึงถึงการฝึกและความเคยชินในชีวิตประจำวันด้วย
บาดเจ็บของเท้านั้นเกิดได้ไม่ยากนัก ถ้าไม่ระมัดระวัง เพราะเป็นส่วนที่สัมผัสพื้นวิ่งโดยตรง ดังจะได้กล่าวดังต่อไปนี้
1. พังผืดอักเสบบริเวณส้นเท้า ( Plantar fasciitis)
เกิดจากการอักเสบของพังผืดบริเวณใต้ฝ่าเท้าตรงส่วนที่เกาะที่กระดูกส้นเท้า สาเหตุที่เกิดเนื่องจากการใช้งานมากเกินไป เช่น วิ่งลงส้นเท้ามากเกินไป หรือกระแทกกระทั้นมากเกินไป ทำให้พังผืดที่เกาะบริเวณส้นเท้านั้นทนไม่ได้เกิดการอักเสบขึ้นมา จะพบในนักวิ่งซึ่งวิ่งโดยลงส้นเท้าแบบกระแทกกระทั้นหรือวิ่งลงส้นเท้าบริเวณพื้นที่วิ่งที่แข็งเกินไป หรือพื้นรองเท้าบริเวณส้นเท้าไม่นิ่ม ไม่สามารถที่จะดูดซับการกระแทกกระทั้นบริเวณส้นเท้าได้ ในพวกนักวิ่งที่มีโครงสร้างของเท้าผิดปกตินั้นก็เกิดอาการบาดเจ็บจากโรคนี้ได้เช่นกัน คือพวกนักวิ่งซึ่งมีเท้าในลักษณะโค้งสูง ( ฝ่าเท้าโค้งสูง ) หรือพวกเท้าคว่ำแบนบิดออกนอก อาการที่พบคือ มีการเจ็บปวดบริเวณใต้ส้นเท้า เมื่อเอานิ้วกดก็จะรู้สึกเจ็บปวดที่จุดตรงกึ่งกลางของส้นเท้าเป็นส่วนใหญ่ หรืออาจจะเฉียงไปทางด้านนอกหรือด้านในได้บ้างเล็กน้อย พวกที่เป็นมากก็จะเจ็บอยู่ตลอดเวลา เมื่อลงน้ำหนักแม้กระทั่งเดินก็จะเจ็บ ส่วนที่อาการไม่มาก นักวิ่งจะสังเกตว่าเมื่อตื่นนอนในตอนเช้าลงจากเตียง ใช้เท้าเดินจะพบว่าจะเจ็บมากบริเวณส้นเท้า เมื่อเท้าเริ่มสัมผัสพื้นหลังจากใช้งานไปชั่วครู่อาการก็จะดีขึ้น การเจ็บปวดก็จะน้อยลงไป จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึง เช้า สาย บ่าย อาการก็จะหายไป หลังจากเลิกใช้งานในตอนเย็น ๆ หรือตอนกลางคืนก็จะมีอาการเจ็บปวดนั้นขึ้นมาอีก ส่วนพวกที่วิ่งจะพบว่าตอนเริ่มต้นวิ่งนั้นจะเจ็บบริเวณส้นเท้า หลังจากวิ่งไปสักระยะหนึ่ง อาการเจ็บส้นเท้านั้นก็จะหายไป แต่เมื่อหยุดวิ่งอาการเจ็บปวดส้นเท้าก็จะกลับเป็นขึ้นมาอีก
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีอาการเจ็บปวด ให้หยุดวิ่ง การรักษาเบื้องต้นก็เหมือนกับการรักษาพยาบาลการบาดเจ็บทั่ว ๆ ไปคือ ให้พักและประคบน้ำแข็งบริเวณนั้นประมาณ 15 นาที - 20 นาที แล้วให้ยาแก้ปวดและให้ยาต้านการอักเสบ สำหรับรักษาโรคนี้ ประมาณ 3 สัปดาห์
ในระหว่างการรักษา 3 สัปดาห์นี้ ให้คนไข้ได้พักบริเวณส้นเท้าจริง ๆ ไม่ให้มีน้ำหนักไปกด หลีกเลี่ยงการเดินหรือวิ่ง ต้องให้ส้นเท้ารับน้ำหนักน้อยที่สุด ถ้าจะเดินก็ไม่ควรให้มีน้ำหนักกดที่บริเวณส้นเท้า อาจจะใช้รองเท้าฟองน้ำ เจาะรูกลม ๆ บริเวณส้นเท้าเพื่อไม่ให้ส้นเท้ารับน้ำหนัก หรือรองด้วยฟองน้ำหนา ๆ เมื่อเวลาต้องการจะเดินเพื่อที่ให้นิ่มที่สุดเท่าที่จะนิ่มได้ และสิ่งที่ควรให้ร่วมด้วยคือ การรักษาทางกายภาพบำบัด โดยการให้ความร้อน ใช้เท้าแช่น้ำอุ่นจัด ๆ น้ำอุ่นให้ร้อนเท่าที่ทนได้ แช่ประมาณ 15 นาที - 20 นาที เช้าเย็น นอกจากนี้การใช้กลื่นเหนือเสียงก็สามารถช่วยได้ ทำให้การหายเร็วขึ้น ในรายซึ่งอาการเป็นมากการรักษาทางยาและกายภาพบำบัดไม่ได้ผล เราสามารถใช้ยาฉีดเฉพาะที่ด้วยยาต้านการอักเสบได้ การฉีดยาให้ฉีดได้ทุก 1 สัปดาห์ ไม่ควรเกิน 3 เข็ม หลังจาก 3 เข็มไปแล้วอาการยังไม่หาย การรักษาขั้นต่อไปคือการรักษาขั้นผ่าตัดเพื่อลดแรงดึงรั้งของพังผืดที่เกาะบริเวณส้นเท้า จะทำให้หายจากอาการเจ็บปวดได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน อาจเป็นเวลาหลายๆ เดือน
การป้องกัน
1. รองเท้าที่ใช้วิ่งจะต้องมีพื้นรองส้นเท้า นิ่ม หรือเสริมที่รองส้นเท้าเป็นยางนิ่มมากๆ และพื้นรองเท้าควรมีส่วนโค้งนูนขึ้นสำหรับอุ้งเท้า
2. หลีกเลี่ยงการวิ่งบนพื้นวิ่งที่แข็ง ไม่ควรวิ่งแบบออกแรงกระแทกที่ส้นเท้า นอกจากนี้
3. ปรับโครงสร้างของร่างกายที่ผิดปกติดังกล่าวแล้ว โดยการเสริมรองเท้าดังที่กล่าวมาแล้ว
4. ให้บริการเพื่อยืดพังผืดนี้ให้มีความยืดหยุ่นอยู่เสมอ โดยโน้มตัวไปทางด้านหน้า ให้ขาเอนไปทางด้านหน้า ทำบ่อยๆ ประมาณ 10 ครั้ง ในตอนเช้าและเย็น
2.โคนนิ้วหัวแม่เท้าอักเสบ ( Bunion )
เกิดจากการอักเสบของข้อต่อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือ อาการของโรคนี้อาจจะเจ็บเมื่ออยู่นิ่งๆ หรือจะเจ็บก็ต่อเมื่อเดินหรือวิ่งก็ได้ แล้วแต่ว่า อาการมากหรือน้อย สาเหตุเกิดจากรูปทรงของเท้าที่ผิดปกติคือ มีนิ้วหัวแม่เท้าบิดออกนอกหรือพบในนักวิ่งที่สวมรองเท้าที่มีส่วนปลายแคบ ( หัวแหลม ) ทำให้มีการบีบรัดนิ้วหัวแม่เท้าให้เบี่ยงเบนออกนอก เกิดการหลุดของข้อต่อเป็นบางส่วน ทำให้มีการเสื่อม จะเห็นว่าส่วนข้อต่อนี้โตขึ้น หรือเคลื่อนไหวได้ยากขึ้น เกิดการเจ็บปวด
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีการเจ็บปวดบริเวณตำแหน่งนี ให้หยุดวิ่งทันที ถอดรองเท้าออก การรักษาเบื้องต้นให้ประคบน้ำแข็งเพื่อลดการอักเสบ พัก ให้ยาแก้ปวด และให้ยาต้านการอักเสบ ถ้าอาการไม่หายไปใน 3 วัน ควรให้ยาต้านการอักเสบนาน 3 สัปดาห์ และให้การรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมด้วย เช่นความร้อน ( แช่เท้าในน้ำอุ่น ประมาณ 15-20 นาที เช้า-เย็น ) ใช้คลื่นเหนือเสียง ( อุลตราซาวด์ ) เป็นต้น การฉีดยาเฉพาะที่ชนิดยาต้านการอักเสบจำพวกสเตียรอยด์เข้าข้อต่อใด ๆ ของร่างกายเป็นข้อห้ามเด็ดขาด เพราะว่าจะทำให้อาการหายไปในทันที แต่จะทำให้ข้อต่อเสื่อมและผุพังเร็วขึ้นเสียไปเลย วิ่งไม่ได้ จะเจ็บอยู่จลอดเวลา แม้ว่าจะได้รับการผ่าตัดแล้วก็ตาม
การป้องกัน
1.ดูรูปทรงของเท้าบริเวณนิ้วหัวแม่เท้าว่าบิดเบนออกไปด้านอกหรือไม่ ถ้ามีมากและมีอาการอักเสบเกิดขึ้นแล้ว อาจจะต้องทำการผ่าตัดรักษาเพื่อให้นิ้วนั้นตรง
2. รองเท้าที่ใช้วิ่งจะต้องมีหัวป้าน ไม่แหลมบีบปลายเท้า
3. รองบริเวณโคนนิ้วหัวแม่เท้าด้วย แผ่นสำลีหรือแผ่นยางที่นิ่มมากๆ เพื่อลดการเสียดสีบริเวณโคนนิ้วหัวแม่เท้า
3. การเจ็บปวดบริเวณด้านใต้ต่อโคนนิ้วหัวแม่เท้า ( Sesamoiditis )
เกิดจากการเสียดสีของปุ่มกระดูกเล็ก ๆ ที่อยู่ในเอ็น บริเวณใต้ต่อโคนนิ้วหัวแม่เท้าบ่อย ๆ ครั้ง ทำให้มีอาการเจ็บปวดได้ สาเหตุที่เกิดนั้น เกิดจากการวิ่งที่ลงด้วยปลายเท้าหรือเขย่งเท้า แทนที่จะวิ่งให้เต็มฝ่าเท้า
การปฐมพยาบาลและการรักษา
เมื่อมีอาการเกิดขึ้น ให้หยุดวิ่งทันที ประคบเย็น หลังจากพักแล้วอาการยังไม่หายไป ให้ยาแก้ปวด ถ้าภายใน 3 วัน ยังมีอาการอยู่ ก็ให้ยาต้านอักเสบนาน 3 สัปดาห์ และรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมด้วย เช่น แช่น้ำอุ่น ให้คลื่นเหนือเสียง ( อุลตราซาวด์ ) เป็นต้น
การป้องกัน
1. ไม่วิ่งโดยลงปลายเท้าหรือเขย่งเท้า ให้วิ่งเต็มฝ่าเท้าเมื่อลงน้ำหนัก
2. รองเท้าที่ใช้วิ่งไม่ควรบีบรัดบริเวณปลายเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโคนนิ้วหัวแม่เท้า
3. หลีกเลี่ยงการวิ่งบนพื้นแข็ง เพราะจะทำให้เกิดการกระแทกกระทั้น หรือมีการเสียดสีของกระดูกชิ้นเล็ก ๆ นี้ได้
( จากหนังสือ บาดเจ็บจากการวิ่ง โดย..รศ.น.พ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ )
ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย.44
นายยิ้ม ( WEBMASTER ) คือใคร ?ดูหน้าตากันหน่อยซิ
ภาพวิ่งลอยฟ้าเฉลิมพระเกียรติ 5 รอบ 2530
นอนไม่พอคืนก่อนการแข่งขัน ร่างกายยังสู้ได้
การฝึกเพื่อกลับไปวิ่งใหม่ หลังจากการบาดเจ็บ
เมื่อเจอนักวิ่งตาบอดท่านจะช่วยอย่างไร
<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>