พิทย์กับเพียร เป็นคู่สามีภรรยาพากันมาพบแพทย์ เพราะภรรยาเจ็บหัวเข่า แพทย์ตรวจแล้วบอกเพียรว่า เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม
พิทย์ : " อะไรกันหมอ อายุสามสิบ นี่น่ะหรือเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม "
แพทย์ : " ยี่สิบก็เป็นได้แล้ว "
พิทย์ : " หมายความว่าแก่แล้ว ใช่ไหม จึงได้เสื่อม"
แพทย์ : " ไม่ใช่ คำว่าเสื่อม หมายถึงการเสื่อมสภาพ ( Degeneration )
ไม่จำเป็นต้องแก่ ( Aged ) ก็เสื่อมได้ ก่อนอื่นต้องขอให้คุณเพียรเล่าอาการหน่อย "
เพียร : " มันเกิดเจ็บหัวเข่าขึ้นมาเฉย ๆ โดยเฉพาะตอนเช้า ๆ ข้อจะผืดมาก "
แพทย์ : " ได้รับบาดเจ็บบ้างหรือเปล่า "
พิทย์ : " ไม่เลย ...."
เพียร : " ก็อาจจะมีบ้าง คือตอนที่อยู่บนเตียง..."
แพทย์ : " ทำอะไร อย่างไร ลองอธิบายหน่อย "
เพียร : " เอ้อ...อย่าดีกว่า..."
แพทย์ : " อ้าว เป็นความลับด้วย อ้อ เดาเอาว่าคุณสองคนเล่นกันแรง
ไปหน่อยละซี แล้วก็ผิดท่าด้วยละซี ถ้าใช่ก็ขอให้นาน ๆ ใช้ที อย่าทำเป็นประจำ "
พิทย์ : " ก็ท่าอื่นมันดูทีวีพร้อมกันไม่ได้นี่หมอ อย่าซอกแซกมากนักได้มั้ย "
แพทย์ : " ก็ได้ จาการตรวจเข่าภรรยาของคุณ พบว่ามีความไม่สมดุลเกิดขึ้น "
พิทย์ : " เอ๊ะ เข่าสองข้างดูเท่ากันดีนี่หมอ "
แพทย์ : " ไม่จรองหรอก ที่เท่ากันมีอย่างเดียว คืออายุ แต่ที่ไม่เท่ากันมีเยอะ
เพราะคนเรามักใช้เข่าข้างซ้ายกับข้างขวาไม่เท่ากัน ทำให้เข่าสองข้างมีโอกาสไม่เท่ากันได้ ทั้งรูปร่างและความแข็งแรง "
พิทย์ : " ข้อเข่าเป็นโรคเดียวกับกระดูกงอกใช่ไหม "
แพทย์ : " บังเอิญข้อที่เสื่อม มักมีหินปูนเกาะกระดูกรอบข้อ อย่างที่เห็นในกระดูกงอก
กระดูกงอกจึงเป็นผลอย่างหนึ่งของข้อเสื่อมจะถูกต้องกว่า คำว่ากระดูกงอกอาจหมายถึงอย่าง เช่นก้อนทูม หรือมะเร็งก็ได้ "
พิทย์ : " งั้นขอทราบข้อเสื่อมเป็ฯเพราะใช้งานมากไปหรือ "
แพทย์ : " ก็ไม่ใช่อีก เพราะกรรมกรแบกกระสอบข้าว นักวิ่งมาราธอน ที่ไม่มีข้อเสื่อมมีเยอะไป ถ้าถามว่า
เพราะแก่แล้วจึงเสื่อม ก็ไม่เชิง เพราะคนอายุ แปดสิบ-เก้าสิบที่ยังใช้ข้อได้ดี ก็มีไม่น้อย "
พิทย์ : " อ้าว แล้วอยู่ดี ๆ ข้อเสื่อมอย่างภรรยาผมได้ไง "
แพทย์ : " ได้ครับ แต่ถ้าอธิบายกันไปมา มันจะยาว ผมจะให้เอกสารฉบับย่อไปอ่านที่บ้านดีกว่า ขอคุณพยาบาลช่วยจัดให้ด้วย "
เอกสาร แพทย์เรื่อง " ข้อเสื่อม "
จริงอยู่ ข้อเสื่อมอาจเป็นผลจากการบาดเจ็บหรือการเป็นโรคที่ข้อนั้น ๆ มาก่อน ทำให้มีการผิดรูป เพราะกระดูกถูกทำลาย แต่ข้อเสื่อมในคนที่ไม่มีสาเหตุดังกล่าวนำมาก่อนนั้น เกิดจากความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของข้อนั้น ๆ เป็นสำคัญ
กล้ามเนื้อควบคุมการเคลื่อนไหมของข้อแบ่งเป็นสองพวก คือ พวกทำ ( Agonist ) และพวกต้าน ( Antagonist ) ขณะที่สมองสั่งให้ข้อเคลื่อนไหวอย่างใด อย่างหนึ่ง คำสั่งจะส่งตรงถึงกล้ามเนื้อพวกทำให้หดตัว แต่ในทันใดนั้นจะมีคำสั่งจากระบบประสาทอัตโนมัติ บอกให้กล้ามเนื้อพวกต้านให้คลายตัว จึงเกิดการเคลื่อนไหวในแบบที่ต้องการอย่างราบรื่น ดูเสมือนว่าข้อนั้นลื่นดี ลองคิดดูว่า ถ้ากล้ามเนื้อพวกต้านไม่ยอมคลายตัว จะเกิดอะไรขึ้น แน่ละ ข้อนั้นจะมีอาการกระดูกไม่เป็นส่ำ ไม่ต่างกับการเมืองที่ฝ่ายค้านไม่ลงรอยกับฝ่ายรัฐบาล บังเอิญนี่เป็นเอกสารการแพทย์จึงไม่มีคำวิจารณ์ ( No comment )
อย่างไรก็ดี การคลายตัวของกล้ามเนื้อพวกต้าน ก็ไม่ได้เป็นไปแบบไม่มีเงื่อนไข หาไม่แล้วก็จะเกิดอันตรายแก่ข้อนั้น ๆ อย่างแน่นอน เช่นถึงกับข้อหลุด ข้อเคลื่อน หรือข้อแพลงก็เป็นได้ ถ้าเปรียบกับการเมืองก็ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย กลับกลายเป็นเผด็จการ บังเอิญนีเป็นเอกสารการแพทย์จึงไม่มีคำวิจารณ์
สมมุติคุณจะเตะฟุตบอล คุณง้างข้อเข่าและข้อเท้ามาทางหลัง แล้วสะบัดไปทางหน้าเต็มแรง คุณกำลังใช้กล้ามเนื้อพวกทำที่อยู่ด้านหน้าขา และหน้าแข้ง ขณะที่กล้ามเนื้อพวกต้านที่อยู่หลังต้นขา และกล้ามเนื้อน่องคลายตัวยอมให้คุณเตะฟุตบอลถูกพร้อมกับส่งขาตามลูกไป แต่ถ้าบังเอิญเจ้ากรรมที่กล้ามเนื้อพวกต้านหย่อนยานเกินเหตุแล้วไซร้ตามทฤษฏี ขาคุณอาจขาดหลุดลอยตามบอลเข้าโกลไปด้วย หรืออย่างเบาะๆ เข่าคุณอาจแอ่นระเนน หรือแม้กระดกพับมาข้างหลัง อันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ซึ่งเป็นภาวะที่ผิดหลักการ " ชีวจิต " อย่างยิ่ง
ในชีวิตจริงคนส่วนใหญ่ไม่เตะฟุตบอล ไม่ปั่นจักรยาน ไม่ขึ้นบันได ไม่ปีนภูเขา เพียงแต่เดินตามพื้นราบธรรมดาเปนประจำ เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อหลังต้นขา ( Hamstrings ) แข็งแรงโตใหญ่ ลองคลำดูเดี๋ยวนี้ยังได้ แต่ตรงกันข้าม กล้ามเนื้อชุดหน้าต้นขา ( Quadriceps ) ไม่ใคร่แข็งแรง ไม่ใคร่โตใหญ่ เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ยิ่งไปทำงานหักโหม หรือซ้ำร้ายผิดท่าด้วย ก็จะยิ่งทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วใหญ่
การเปลี่ยนแปลงเมื่อข้อเสื่อมอย่างแรกคือ กระดูกอ่อนผิวข้อสึกบางไปเรื่อย ๆ เพียงแค่กล้ามเนื้อพวกทำ กับพวกต้านมีความแข็งแรงไม่เท่ากัน ซ้ำร้ายถ้าทำงานที่ทำเป็นประจำต้องนั่งยองๆ หรือนั่งพับเพียบเป็นเวลานาน ผิวข้อจะมีการกรดกันอยู่นาน และกดแรงไม่เฉี่ยกระจายทั่วพื้นผิว ข้อเข่าจะบิด หรือคด หรือเข่าอ่อน หรือเหยียดไม่ออก หรือเข่าหลวม จับขยับโยกได้ทางข้างและทางหน้า-หลัง เป็นต้น ถึงตอนนั้น แสดงว่าเอ็นคุมข้อ ( Ligaments ) หย่อนเทิบทาบไปแล้ว ทำให้ข้อเข่าไม่มั่นคง ( Unstable ) เข่านั้นจะเสื่อมรวดเร็วมากขึ้นอีกเท่าตัว
อาการของข้อเสื่อมคือ เจ็บและผืดถ้าเป็นกับข้อเข่าที่รับน้ำหนักมากจะเจ็บมาก เพราะกระดูกอ่อนนั้นธรรมชาติสร้างไว้ไม่ให้มีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาเลี้ยง เพราะต้องการความเรียบลื่น จึงไม่ความรู้สึกเจ็บ แต่เมื่อกระดูกแข็งโผล่ทำให้เจ็บมากเหมือนอาการเสียวฟันเมื่อเคลือบฟัน ( Enamel ) สึก ส่วนอาการข้อผืดนั้นเป็นเพราะผิวข้อไม่เรียบลื่นอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งเป็นเพราะกล้ามเนื้อที่ขยับเคลื่อนไหวข้อขาดความสมดุล
การที่กระดูกอ่อนผิข้อสึกบางไป ทำให้ร่างกายสร้างหินปูนเข้ามาพอกรอบๆ ข้อ โดยการปฏิกิริยาการอักเสบ ด้วยความหวังจะเสริมความแข็งแรง แต่ความจริงทำให้ข้อแข็งมากกว่าแข็งแรง และการเคลื่อนไหวข้อยิ่งทำได้ยากและมีขีดจำกัดมากขึ้น
การรักษาข้อเสื่อมไม่ไดผลดีเท่าการป้องกัน การรักษามีการพันข้อที่หลวมให้กระชับ มีกายภาพบำบัดด้วยความร้อนประคบ การออกกำลังกล้ามเนื้อให้สมดุล การนวดกล้ามเนื้อช่วยคลายอาการเกร็งได้ การใช้ยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบเป็นพัก ๆ ทั้งแบบกินแบบฉีดเข้ากล้าม และแบบฉีดเข้าช่องข้อโดยตรง ล้วนเป็นการรักษาตามอาการ หรือการรักษาปลายทาง ขณะที่ยาแก้ข้อเสื่อมโดยตรงยังไม่มี มีการค้นคว้าหาสารออกฤทธิ์ที่ช่วยพยุงกระดูกอ่อนผิวข้อกันอยู่บ้าง แต่ยังไม่ได้ผลดีนัก ระยะท้ายมีการผ่าตัดตกแต่งข้อและการใส่ข้ออะไหล่ หรือข้อปลอมให้เช่นเดียวกับฟันปลอมเท่านั้นเอง
การป้องกันข้อเสื่อม ใช้หลักการว่าสาเหตุข้อเสื่อมโยงใยไปถึงกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อด้วย ดังนั้นข้อต่าง ๆ ของร่างกายจะใช้งานได้ดี ต้องมีปัจจัยสองอย่าง คือ 1. ข้อต้องลื่น 2. ก้ามเนื้อต้องแข็งแรงและสมดุลทั้งพวกทำและพวกต้าน
การทำให้ข้อลื่น ใช้วิธีออกกำลังกายด้วยท่ากายบริหารโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วย เพื่อมุ่งหวังให้ข้อคุ้นชินกับการเคลื่อนไหวตลอดพิสัยหรือขอบขีดความสามารถ ( Range of Motion ) ของข้อนั้น ๆ เช่นข้อไหล่มีพิสัยการเคลื่อนไหวขึ้นเหนือศรีษะเป็นธรรมดา แต่ถ้าผู้ใดขาดการยกแขนเป็นประจำ ไม่ช้าก็ยกไม่ขึ้น เพราะเอ็นติด ถ้าวันหนึ่งเผลอไปทำเข้า วันรุ่งขึ้น อาจเกิดเอ็นอักเสบ ระบม แล้วมีหินปูนพอกเอ็นตามธรรมชาติ ทำให้ข้อไหล่เสื่อม
การทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและสมดุล ต้องฝึกทำกายบริหารแบบเกร็งกล้ามเนื้อนิ่งๆ ( Isomatric Exercise ) เป็นประจำ เช่น ข้อเข่าที่มักมีกล้ามเนื้อหน้าต้นขาอ่อนกำลัง ขณะที่กล้ามเนื้อหลังต้นขาใหญ่โตแข็งแรง ( เพราะคนส่วนมาใช้ชีวิตเดินบนพื้นราบ )จะต้องเพ่งเล็งการออกกำลังแบบต้านน้ำหนัก ( Weight Training ) โดยการขึ้นบันไดบ้าง วิ่งขึ้นเขาบ้าง ถีบจักรยานบ้าง หรือจะฝึกต้านน้ำหนักในโรงยิมเป็นพิเศษก็ได้
อนึ่ง กล้ามเนื้อจะแข็งแรงมีสภาพดีต้องมีการบำรุงด้วยอาหารโปรตีน หรือกรดแอมิโน ( จากพืชก็ได้ ) เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ต้องได้คาร์โบไฮเดรทเพื่อเป็นพลังงาน ได้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นเช่นเดียวกับเนื้อเยื่ออื่น ๆ ของร่างกายสำหรับกล้ามเนื้อ ฮอร์โมนเพศชาย ( ธรรมดา ) และสเตียรอยด์ ( สังเคราะห์) บางชนิดก็มีส่วนเสริมก้ามเนื้อให้ใหญ่โตได้ แต่อย่างหลังมีอันตรายมากจากฤทธิ์ข้างเคียง
สรุป
1. ข้อเสื่อมเพราะขาดการใช้งานที่ถูกท่าถูกวิธีและทุกทาง (ไม่ทำอย่างเดียวจำเจ )
2. ข้อเสื่อมป้องกันได้แน่นอน พันธุกรรมมีส่วนบ้างแต่น้อย
ทิพย์และเพียรกลับมาพบแพทย์คนเดิมอีกครั้ง
ทิพย ์ : " อยากทราบว่าความอ้วนเป็นเหตุให้ข้อเสื่อมจริงไหม "
แพทย์: " จริงแต่มีข้อแม้ว่า ตัวโตขึ้น หนักขึ้น แต่กล้ามเนื้อไม่โตและไม่แข็งแรงตามไปด้วยเท่านั้น
ข้อเข่าจึงเสื่อม นักกีฬาบางชนิดตัวใหญ่ แต่ข้อเข่าไม่เสื่อม เพราะเขาฝึกกล้ามเนื้อกันเป็นประจำ "
ทิพย ์ : " งานหนักเกินไปทำให้ข้อเสื่อมเร็ว อายุมากขึ้นข้อก็เสื่อมตามไปใช่ไหม "
แพทย์: " บอกแล้วไงไม่ใช่สาเหตุโดยตรง ที่ภรรยาคุณเขาเจ็บเข่า ไม่ใช่เพราะทำงานหนักหรือผิดท่า
แต่อาจเป็นได้ว่าทำงานจำเจเป็นอยู่อย่างเดียว เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อหน้าต้นขาอ่อนกำลังไปหน่อยเดียวเอง "
ทิพย ์ : ( พูดกับภรรยา ) " ถ้างั้นพรุ่งนี้เราไปหาจักรยานภูเขามาถีบเล่นกันนะน้องจ๋า "
( จากนิตยสาร ชีวจิต โดย..ธันย์ โสภาคย์ )