% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_bible_newrunners.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %>
เฉพาะในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว มีนักวิ่งประมาณ 40 ล้านคน ในประเทศไทยเอง กีฬาการวิ่งก็กำลังเฟื่องสุดขีด ณ จุดนี้จึงควรที่จะพินิจพิเคราะห์ว่าการวิ่งนั้น ควรจะวิ่งอย่างไร จึงจะได้ประโยขน์สูงสุด
ในอดีตนักวิ่งมักมีความเชื่อว่าการฝึกกีฬานั้นยิ่งโหดเท่าไรยิ่งได้ประโยชน์สูงสุด ดังนั้นในการฝึกวิ่งจึงต้องวิ่งให้ไกลที่สุด ยิ่งวิ่งได้ระยะทางไกลเท่าไร ยิ่งโหดเท่าไร ทั้งกล้ามเนื้อ และเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ยิ่งได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และร่างกาย จะอยู่ในสภาพการ FINE TUNE หรือการเตรียมพร้อมที่สมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นการตั้งเป้าหมายการวิ่งในอดีตในระยะ 100-150 ก.ม. ต่อสับดาห์ นั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ปัจจุบันความเชื่อเช่นนี้ได้หมดไป ในการวิ่งแผนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งระดับบรมครูจนถึงนักวิ่งหางแถว ต่างหันมาวิ่งโดยมีปรัชญา เป็น ที่ตั้งมากกว่าการวิ่งโดยอาศัยพละกำลังความกล้าและความอดทนเป็นเครื่องวัด
การวิ่งซึ่งอาจจะเรียกว่าการวิ่งในยุคของ " การวิ่งโดยใช้สมอง " หรือ " การวิ่งอย่างมีเหตุผล " นี้ ผู้ที่อยู่ในแนวหน้าในการริเริ่ม คือ โจ เฮนเดอร์สัน ( JOE HENDERSON ) ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับการวิ่งแข่งขันมาตลอด 29 ปี เขาได้สร้างขบวนการ " นักวิ่งปรัชญา " โดยได้วิวัฒนาการวิ่งขึ้นใหม่ เรียกว่า " การวิ่งระยะไกลแบบสบาย ๆ " หรือการวิ่งแบบ " กสบ " ( แปลงมาจากภาษาอังกฤษ ซึ่ง โจ เฮนเดอร์สัน เรียกว่า LSD หรือ LONG SLOW DISTANCE RUNNING
ความจริงแนวความคิดแบบนี้ได้มีมานานแล้ว สังเกตได้จากหนังสือชื่อ AREOBICS ซึ่งเขียนโดย ดร.เคนเนท คูเปอร์ ( DR.KENETH COOPER ) ในปี ค.ศ. 1968 เขาได้เน้นถึงอันตรายจากการวิ่งระยะทางไกล ๆ จนเกินความจำเป็น คำแนะนำของเขาคือ ให้วิ่งสับดาห์ละ 10 ถึง 25 ไมล์ เป็นสูงสุด และให้วิ่งแบบวันเว้นวัน สลับกับกีฬาประเภทอื่น เช่น ว่ายน้ำ ฯลฯ
ยอร์ช ชีอาน ( GEORGE SHEEHAN ) บรมครู นักวิ่งในยุคปัจจุบัน ได้สรุปไว้ว่า " แนวโน้มที่เห็นได้ชัดที่สุดในปัจจุบันคือ การวิ่งอย่างมีเหตุผล วิ่งแบบสายกลางคือไม่หักโหมจนเกินไป หรือหย่อนยานจนเกินไป "
กล่าวโดยสรุป นักวิ่งยุคใหม่คือ นักวิ่งซึ่งวิ่งโดยมี มัชฌิมาปฏิปทา เป็นที่ตั้ง สำหรับนักวิ่งที่วิ่งอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าได้วิ่งเพียงสัปดาห์ละ 15-20 กม. แบบวันเว้นวัน เสริมด้วย ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ 20-30 นาที อีกสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ถือได้ว่า ได้ประโยชน์สูงสุดแล้ว สามารถมีชีวิตที่สุขสบายมีโอกาสได้ถือไม้เท้ายอดทองเป็นผู้เฒ่านักวิ่งให้คนรุ่นหลังได้ฮือฮาแน่นอน
การฝึกข้ามประเภท(CROSS TRAINING)
จะช่วยเสริมความสมบูรณ์ของการพัฒนากล้ามเนื้อในส่วนอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นกล้ามเนื้อหลักที่ใช้ในการวิ่ง และยังช่วยป้องกันความบาดเจ็บอันอาจเกิดขึ้นจากจุดอ่อนของกล้ามเนื้อบางส่วน อีกทั้งช่วยให้การวิ่งไม่น่าเบื่อหน่าย ช่วยให้การวิ่งมีชีวิตชีวาขึ้น
ฟังเสียงบ่นจากเรือนร่าง
นักวิ่งที่ดีจะต้องเปิดหูเปิดตา คอยสดับตับฟังเสียงบ่น เสียงประท้วงจากร่างกายของตัวท่านเอง ว่าเป็นอย่างไร เริ่มมีอาการระบม ปวดเมื่อย ชอกช้ำ ในส่วนไหน หรือไม่อย่างไร แล้วท่านก็จงปรับโปรแกรมการฝึกของท่านให้เหมาะให้ควร
วิ่งให้สนุก
ควรใส่เสน่ห์และความคิดสร้างสรรค์ลงไปในโปรแกรมการวิ่งของท่าน เพื่อให้การวิ่งสนุกสนานและเพลิดเพลิน เช่นหาที่วิ่งตามทางรถไฟเก่า ๆ วิ่งเข้าป่าช้า ขึ้นเขา ลงห้วย ชายหาด และในทะเลหรือวิ่งลงบันไดออฟฟิศทำงาน วิ่งรอบป่าช้า วิ่งเล่นกับหมา ตีคู่ไปกับสาว วิ่งไล่หยอกล้อหนุ่มๆ สาวๆ แต่อย่าเผลอไป " วิ่งราว " เข้าล่ะ จะพลอย อดวิ่งไปอีกนาน
วิ่งพอดี วิ่งอย่างฉลาด
ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญทุกคนลงความเห็นว่า ผลประโยชน์สูงสุด จากการวิ่งเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหัวใจให้มีสุขอนามัยที่ดีนั้น ถ้าได้วิ่งเพียง 15-25 กม. ต่อสัปดาห์ ถือว่าเพียงพอแล้ว
แต่ถ้าต้องเตรียมตัวเพื่อลงแข่งขัน และจำเป็นต้องฝึกในระยะทางที่ไกลขึ้นย่อมทำได้ แต่จะต้องยุติการฝึกแบบโหด ๆ และหันมาฝึกแบบสุขุมรอบคอบพอเหมาะพอควร ถ้าวิ่งหนักแล้วต้องตามด้วยการวิ่งเบาและการให้เวลาที่เพียงพอ ให้ร่างกายได้พักและปรับสถาพ
วิ่งเต็มที่ วิ่งอย่างง่าย ๆ
ถ้าวิ่งเพื่อสุขภาพ วิ่งวัน เว้น วัน... เท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว
วิธีนี้ให้โอกาสกล้ามเนื้อได้ผลิตสารกลัยโตเจน เพื่อเตรียมไว้ใช้ในการวิ่งครั้งต่อไปได้ทัน อีกทั้งมีเวลาให้เซลต่าง ๆ ได้พักฟื้นและซ่อมแซม บำรุงตัวเอง
ถ้าวิ่งเพื่อแข่งขันซึ่งต้องมีการฝึกให้หนักขึ้น ต้องจัดให้มีวันหนัก วันเบา สลับกันไป หรือหนึ่งวันหนัก สองวันเบา ได้ยิ่งดี แต่ที่สำคัญจะต้องไม่โหมวันหนัก ๆ ติดต่อกันโดยตลอด โดยเด็ดขาด และถึงแม้ว่ามีโปรแกรมเช่นนี้แล้ว ยังจะต้องเผื่อวันหยุดไว้หนึ่งวันในทุกๆ สิบวันเพื่อให้ร่างกายได้พักฟื้นอย่างเต็มที่
เสริมด้วยกีฬาประเภทอื่น
สำหรับวันที่ไม่ได้วิ่ง ควรเสริมด้วยกีฬาประเภทอื่นอย่างเบา ๆ เช่นขี่จักรยาน กรรเชียง ยกน้ำหนัก ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิค หรืออื่น ๆ
ก่อนจบอยากฝาก " คัมภีร์นักวิ่ง ( ยุคใหม่) " ไว้ให้ท่านได้นำไปพินิจพิเคราะห์ดูว่า พอจะเทียบเคียงกับ " คัมภีร์วัดเส้าหลิน มั้ย"
คัมภีร์นักวิ่ง ( ยุคใหม่ )
กฏข้อที่ 1 รู้จักวิ่งพอดีๆ วิ่งอย่างฉลาด
กฏข้อที่ 2 รู้จักวิ่งให้เต็มที่ วิ่งอย่างง่าย ๆ
กฏข้อที่ 3 รู้จักเสริมด้วยกีฬาประเภทอื่น
กฏข้อที่ 4 รู้จักฟังเสียงบ่นจากเรือนร่าง
กฏข้อที่ 5 รู้จักวิ่งให้สนุก
หมายเหตุ : เรียบเรียงจาก " คัมภีร์นักวิ่ง " โดย พร ศรีจันทร์ จากหนังสือคู่แข่ง ฉบับพิเศษ ( กีฬากับนักบริหาร )
ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 28มิ.ย.44<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>
อาหารช่วงก่อนและระหว่างการแข่งขัน