<% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_parinya_fire.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %> ไฟ  ในบรรดาธาตุที่มีอยู่ในโลก ธาตุไฟเป็นธาตุที่ร้อนแรงที่สุด แต่ไม่มีอะไรร้อนกว่าไฟในใจ และมีสิ่งเดียวที่จะล้างไฟในใจได้

 

 

             ไฟ ในบรรดาธาตุที่มีอยู่ในโลก ธาตุไฟเป็นธาตุที่ร้อนแรงที่สุด แต่ไม่มีอะไรร้อนกว่าไฟในใจ และมีสิ่งเดียวที่จะล้างไฟในใจได้ : ไฟ

 

ไฟที่แผดเผา

        หลังจากวิ่งมาราธอนครั้งแรกในชีวิตของผม ปี 2532 เสร็จสิ้นลง ผมก็มีความผยองในชีวิตมากขึ้น ความสำเร็จอันผิวเผินที่มิได้มาจากการซ้อมอย่างสม่ำเสมอตามหลักนักกีฬาที่ดีทั้งหลาย ได้ถูกผมนำมาอวดอ้าง ในรูปแบบที่น่าประทับใจ โดยผู้รับฟังที่มิใช่นักวิ่งที่แท้จริง ผมได้รับการยกย่องนับถือในแง่ของการมีใจแข็ง แกร่งในระยะนั้นตลอดมา ผมเริ่มหลงระเริง หันกลับไปหาสรรพอบายมุขที่เพิ่งทิ้งมาชั่วคราวก่อนแข่งขัน ผมไม่ เคยมีเวลาซ้อมวิ่งจริงจังเลย หลายต่อหลายครั้งที่ไปร่วมวิ่งตามสถานที่ใกล้ ๆ บ้านในกรุงเทพฯ ก็ไม่เคยซ้อมถึง หนึ่งในสามของระยะทางที่เข้าแข่ง เวลาของผมแย่ลงเรื่อย ๆ ใช้เวลากับมินิสูงสุดถึง 80 นาที และฮาล์ฟ165 นาที แต่ผมก็ยังหลงผิดและทรนงอยู่เสมอมา ว่าผมยังคงวิ่งในระยะนี้ได้ทุกเวลาที่ต้องการ ผมได้ห่างไกลวินัย ของนักวิ่งที่ดีไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป

        ชีวิตของผมในปี 2533 ปะปนพัวพันกับเรื่องใหญ่ ๆ เพียงแค่งาน สังคม, ผู้หญิง ละคร บทเดิม ๆ ถูกแสดง ซ้ำแล้วซ้ำอีกในแต่ ละวัน วิ่งเป็นเพียงส่วนน้อยนิดในมุมหนึ่งของชีวิตที่หยิบมานึกถึงเฉพาะช่วงมีงานแข่งขัน หรือวันสุดสัปดาห์เท่า นั้น

        เนื่องจากผู้คนแวดล้อมในชีวิตผมส่วนใหญ่ ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือกิจกรรมในการวิ่งมากนัก ผมซึ่งเริ่มต้น จากแรงบันดาลใจชั่ววูบในการวิ่งก็ไม่ได้มีเพื่อนฝูงในวงการวิ่งมาก นอกจากที่คุ้นหน้าคุ้นตาในสนามวิ่งจตุจักร ในสมัยนั้น ทำให้การร่วมกลุ่มหรือชักชวนไปซ้อมเป็นระยะขาดหายไป ในเวลาเพียง 6-7 เดือน ต่อมาผมก็ลืม เรื่องการวิ่งโดยสิ้นเชิง

        ความสมดุลย์ในชีวิตประจำวันของผมเริ่มพังทลายลงในปลายปีนั้น ความรักของผมแม้ยังหวานชื่น  และโรแมนติกเช่นเดิม แต่ความสัมพันธ์เริ่มไม่ราบรื่น เนื่องจากผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงเข้ามามีบทบาทในชีวิตมาก ขึ้นเรื่อย ๆ ผมเองไม่ได้คิดจะสนใจอะไรมาก เนื่องจากเคยชินกับการเป็นผู้เลือก และทำตัวให้ถูกเลือกเสมอมา ทั้งชีวิตการทำงาน และเรื่องส่วนตัว คิดว่าครั้งนี้ก็คงเหมือนครั้งอื่น ๆ ในทุกครั้งที่ผมเป็นฝ่ายชนะในที่สุด ปรากฎว่าผมคาดผิดโดยสิ้นเชิง จากบุคลิกอันอ่อนโยนของแฟนผม เธอกลับเลือกผู้ใหญ่ แทนที่จะเป็นผม ซึ่งเพ้อ ฝันไปตามประสาคนหนุ่ม......ผมแพ้แล้ว.....หมดสิ้นกันสำหรับทุกอย่าง...................

แม้ว่าชีวิตจะไม่ได้เจ็บช้ำมากนักเนื่องจากเป็นการแยกจากกัน มิใช่ถูกทอดทิ้ง แต่การลืม ความเจ็บปวด อย่างกระทันหันสำหรับเรื่องแบบนี้ ไม่ง่ายนักที่จะทำ มันอยู่ ในความคิดคำนึงทุกขณะที่มีเวลาว่าง จากรุนแรง และค่อย ๆ ลดลงตามเวลาที่ผ่านไป แต่ไม่เลือนหายไป จะผุด ขึ้นมาย้ำเตือนเสมอ ๆ ในใจผมเสมือนมีไฟกอง ใหญ่สุมอยู่ ผมเคยคิดว่าในบรรดาธาตุทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก ไฟจะเป็นธาตุที่ร้อนแรงที่สุด แต่บัดนี้ผมตระหนัก แก่ใจตัวเองแล้ว ว่าไฟในใจนี่สิ จึงจะเป็นที่สุดของความร้อนเร่า ผมได้สัมผัสกับมันแล้วในขณะนี้

ระหว่างนั้น ผมก็ใช้ชีวิตเสเพลพักใหญ่ ภาพพจน์ตกต่ำมากผมก็ครุ่นคิดหาทางออกให้ตัวเองเสมอมา

        เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ผมก็คิดออกขึ้นมาเองว่า ถ้าผมเองเคยทำ สิ่งที่ผมว่ามีคุณค่ามากมายให้กับคนอื่นมาแล้ว ทำไมผมจึงจะไม่ทำสิ่งแบบนั้นให้กับตัวเองบ้าง ผมเริ่มคิดว่าจะลงวิ่งแข่งขันมาราธอนในปี 2533 อีกสักครั้ง แม้ว่าเวลาที่เหลืออยู่เพียง 3 เดือน จะแลดูเป็นอุปสรรคอย่างสูงในการเริ่มทำการซ้อมแต่ในที่สุด ผมก็ตั้งใจ เด็ดขาด หนามยอกต้องเอาหนามบ่งฉันใดไฟจาก พลังความเชื่อมั่น จึงจะดับ ไฟที่สุมใจผมได้ฉันนั้น.

การเตรียมการวิ่งมาราธอนในเวลา 3 เดือน ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักวิ่งที่ทอดทิ้งการวิ่ง เป็นระยะเวลานาน ๆ ก็น่าจะเป็นความหนักใจทับทวีคูณอย่างเลี่ยงไม่ได้

        ผมเริ่มวางแผนซ้อมวิ่งในรูปแบบที่แตกต่างกับปีที่แล้วโดยสิ้นเชิง โดยในปีนี้ผมจะเน้นหนักไปในการ วิ่งต่อเนื่องไม่หยุดเป็นระยะดังปีก่อน การกำหนดแผนซ้อมวิ่งก็ไม่ลงตัว เนื่องจากมีปัจจัยในการวิ่งที่ทำให้ผม สับสน ผมเกรงกลัวต่ออาการบาดเจ็บจนต้องพิจารณาถึงความเข้มและความถี่ของระยะวิ่งอย่างระมัดระวัง ผม เคร่งครัดต่อตารางซ้อมวิ่งเท่าที่จะทำได้ พละกำลังและความเร็วค่อย ๆ คืนกลับมา อย่างกระท่อนกระแท่น..... ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ในช่วงแรก ผมไม่วอกแวก ไม่เปลี่ยนแผนการวิ่ง ไม่ลอกเลียนแบบตำราวิ่งของใคร ผมรู้ตัวผมดีว่า ผมเป็นแบบที่ผมเป็น......ผมจะวิ่งตามแบบที่ผมกำหนด

บางครั้งในช่วงการฝึก ผมก็ขมขื่นบ่อย ๆ เมื่อเห็นนักวิ่งอื่น ๆ ซ้อมวิ่งอย่างสนุกสนาน ด้วยความเร็ว ด้วยความสมบูรณ์ ด้วยมิตรภาพ อย่างที่ผมไม่เคยมีมาตลอดชีวิต แล้วผมก็หักใจ ก้มหน้าก้มตาซ้อมไปตามสภาพ เวลานี้ชีวิตเป็นนรกสำหรับผมมากกว่าในสนามวิ่งจริง ความรู้สึกหลาย ๆ แบบประดังเข้ามา พร้อมที่จะทำ ให้ผมไขว้เขวโดยง่ายผมต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองเป็นอย่างมาก พยายามปลอบประโลมตัวเองด้วยความรู้สึก ที่คิดว่ามีกำลังใจเหนือผู้อื่นอีกมากมาย ก็ทำไม่ค่อยได้ตลอดนัก

ก่อนถึงเวลาวิ่งจริงในเดือนพฤศจิกายน ผมก็กัดฟันซ้อมได้ถึง 30 กม.เพียงครั้งเดียว โดยเพิ่มน้ำหนัก สัปดาห์ ละ 2-3 กม. ในเวลา 10 สัปดาห์ ส่วนเวลาที่เหลือ 2 สัปดาห์ผมก็เริ่มซ้อมเบา แม้ในใจจะอยากซ้อมเพิ่ม แต่ก็กลัว ปัญหาการบาดเจ็บ

       บัดนี้ผมก็ได้เตรียมตัวแล้วในระดับหนึ่งสำหรับร่างกาย ผมจะลงสู่สนามแข่งมาราธอนอีกครั้ง ซึ่งมิได้มี ความหมายเพียงแค่มาทดสอบความแข็งแกร่งของพละกำลังเท่านั้น มันยังคือสนามชีวิตจริงของผม ผมไม่ได้ลง วิ่งเพื่อสุขภาพ แต่ว่าเพื่อพิสูจน์ความเชื่อมั่น ว่าเพื่อจุดไฟในชีวิตขึ้นมาใหม่ มาล้างไฟในอก มีเพียง 2 ทางเลือก เท่านั้นในสภาพร่างกาย และกรอบเวลา ตอนนี้ คือต้องจุดไฟ หรือ ให้ไฟมันเผาผลาญให้มันวอดวายไป??????....

 

ในที่สุดวันแห่งการแข่งขันก็มาถึง ผมยังไม่พร้อม แต่ถึงเวลาแล้ว.....

 

ไฟอันอบอุ่น

        ผมรอที่เส้นสตาร์ทวอรม์อัพด้วยความหม่นหมองกวาดตาดูไปรอบๆ ตัวแล้วหัวใจก็วาบหวิวลงอีก บรรยากาศทุกอย่างเหมือนเดิม ชุดวิ่งเป็นชุดเดิม, สถานที่เดิม ความคึกคักรอบข้างเหมือนเดิม แต่ผมเปลี่ยนไป

        ผมเริ่มต้นวิ่งในกลุ่มท้าย ๆ เช่นเดิม ด้วยความระมัดระวังยิ่ง เส้นทางวิ่งเป็นเส้นทางเดิม โดยมีช่วงวิ่งยาว จากสนามหลวง ไปทางพุทธมณฑล เลี้ยวกลับตัว และวิ่งกลับสะพานปิ่นเกล้าเข้าในเมือง แล้ววนกลับมาจุดเดิม ผมวิ่งด้วยความรู้สึกเชื่อมั่นระคนหวาดกลัว ความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด ของปีที่แล้วตลอดจนระยะเวลาอันเนิ่น นานที่ใช้ ยังคงฝังในใจลึก ๆ อยู่ ผมไม่พบใครในกลุ่มเดียวกันที่รู้จักหรือคุ้นตา แน่นอนพวกนั้นคงขยับไปอยู่ แนวหน้ากันหมดแล้ว

ผมค่อย ๆ ผ่านระยะต่าง ๆ ด้วยความเร็วต่ำ แต่คงที่ ผมไม่แวะดื่มน้ำบ่อยนัก เพราะกลัวจะเสียจังหวะ ของการวิ่ง ผมผ่านระยะสั้น ๆ มา จนถึงระยะกลับตัวและวิ่งกลับสะพานพระปิ่นเกล้า ผมวิ่งประคอง ตัวมาเรื่อย ๆ ในระหว่างการวิ่ง ผมเริ่มเหนื่อย สมองก็เริ่มฟุ้งซ่าน ด้วยความเงียบรอบข้าง ผมคิดถึงเหตุการณ์ปี ที่แล้ว ความสุข-ความทุกข์ ในอดีตและเส้นทางในชีวิตที่ทำให้ต้องกลับมาวิ่ง ผมหมกมุ่นอยู่กับความคิดของ ตัวเองมากกว่าที่จะดูสิ่งแวดล้อมข้าง ๆ หรือ ทักทายกับใครที่รู้จัก

 

เวลาผ่านไปและผ่านไป ช่างเชื่องช้าที่สุดในหัวใจของผม กระทั่งถึงเวลาหนึ่ง ผมวิ่งมาได้ 3 ชม. แล้ว ได้ระยะทางประมาณ 28.5 กม. เหลืออีก 14 กม. ไม่มากสำหรับนักวิ่งที่ได้ทำการฟิตซ้อมมาเพียงพอ แต่ผม หมดแรงแล้ว ใครที่มิใช่นักวิ่งจริงไม่รู้หรอกว่าการลงสนามแข่งจริงไม่ว่าครั้งไหนๆ มันก็จะมีความ ตื่นเต้นทุกครั้งไปผมอาจจะวิ่งเร็วไปมากไปกว่าที่ตั้งใจเล็กน้อยหัวเข่าซ้ายด้านในเริ่มปวดน่องล้าไปนานแล้ว เนื่องจากขาขวาของผมสั้นกว่าขาซ้าย เล็กน้อยจากการที่เคยขาหัก ในตอนเป็นเด็ก ผมพยายามวิ่งตามไหล่ทาง ให้มากที่สุดแต่ไม่อาจทำได้ตลอด ขาซ้าย รับน้ำหนักแทบจะข้างเดียวมากเกินไป จึงเริ่มปวดอย่างเบา ๆ ผมค่อนข้างใจหายเวลาวิ่งของผม ที่ว่าเร็วกว่าปกติ ก็ยังทำได้ไม่ดีนักเทียบกับปีที่แล้ว ผมเข้าใจสัจธรรม จากความเหนื่อยยากปีที่แล้วดีว่าการวิ่ง ได้เร็วบางช่วง และ หยุดพักเหนื่อยนั้น มันบั่นทอนความตั้งใจเสีย มากกว่าการวิ่งเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดบ่อยนัก

 

ผมสูดหายใจลึก ๆ คิดแต่เพียงว่าเริ่มกันเสียทีกับเดิมพันของชีวิต ในสนามที่มิได้มีให้แข่งกับใครอื่น นอกจากตัวเอง ในตอนนั้นผมไม่ได้คำนึงถึง ความรู้สึกหวาน ๆ เก่า ๆ ที่เคยนึกถึงใครต่อใครเป็นกำลังใจในการ วิ่งเลย ผมคิดถึงแต่ตัวเอง คิดถึงยุทธวิธีทุกอย่างที่เรียนรู้เพื่อให้การเริ่มวิ่งช้า ๆ จาก กม.ที่ 29 ประสบผลสำเร็จให้ได้ในเวลา 5 ชม. เพราะผมกลัวความตึงเครียดและความไม่มั่นใจจะเริ่ม ประดังเข้ามาจนต้องยอมแพ้ไปก่อน

ก้าวต่อก้าว ผมยังคงเดินสลับวิ่งจ๊อกต่อไปความเร็วคงประมาณ 8 กม/ชม. ความสำเร็จ ในการวิ่ง ครั้งสำคัญนี้ จะมีได้ด้วยวิธีเดียวคือ ต้องไม่หยุด บรรยากาศของถนนในเมืองช่วงเวลา 8 โมงกว่า ๆเริ่มจะ คึกคักด้วยผู้ คน การเคลื่อนย้ายตัวเองผ่านสถานที่ต่าง ๆ ที่ไม่ซ้ำจำเจ เหมือนกับถนนสายปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ทำให้ผมลด ความเบื่อลงได้ระดับหนึ่ง สายตามุ่งหาเป้าหมายข้างหน้าเพื่อจะวิ่งได้ถึงอีก ผมไม่สนใจสายตาของ ผู้คนหลาก หลายที่จ้องมองดู ผมไม่ละอายใจตัวเองที่ต้องวิ่งช้าๆในขณะที่ยังมีนักวิ่งคนอื่น ๆ ค่อย ๆเหยาะวิ่ง ผ่านไปผมไม่มองไปข้างหลัง ผมเดินหลบแดดที่เริ่มจะส่องแรงขึ้นเท่าที่จะทำได้ ผมไม่ต้องรักษาฟอร์ม ผมมา เพื่อเอาชนะตัวเองและเวลาให้ได้ ผมเตือนใจตัวเองอย่างนั้น

ผ่านถนนหลายสาย โค้งหลายโค้ง ผมเริ่มมองกลุ่มข้างหน้าในระยะสายตา บ้างก็เริ่มหยุดพัก บ้างก็เจ็บ หลายคนลงไปนอนหรือนั่งนวดขาบนพื้น ในกม. 33 แดดร้อนมากขึ้น ผมไม่ค่อยได้ช่วยเหลือคนเจ็บได้มากนัก นอกจากพูดจาปลอบใจไปตามที่ควรจะมีให้ ลึก ๆ แล้ว ผมค่อนข้างอดสูใจตัวเอง ในความไร้น้ำใจของตัวเอง

แดดเริ่มแรงมากขึ้น การจราจรคับคั่งตามปกติ ทำให้การเดินสลับวิ่งของผมค่อนข้างประสบอุปสรรค เป็นอย่างมาก นักวิ่งกลุ่มท้าย ๆ แบบนี้ ต้องรอสัญญาณจราจรจากเครื่องหรือจราจรมากกว่าจะได้สิทธิพิเศษ ปิดถนนอำนวยความสะดวกเหมือนกลุ่มแรก ๆ ผมกัดฟันผ่านมาได้ถึง กม. 35 แล้ว เวลาหมดไป 3 ชม. 50 นาที ผมหิวมาก ขาสั่น โชคดีที่ไม่ค่อยกินน้ำมากนัก เพราะกลัวจุก ผมไม่กินผลไม้หรือลูกอมอื่นเลย เนื่องจากไม่เคย ชิน การวิ่งเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด พลังใจที่คิดว่ามีมากก็ค่อย ๆ หดหายไป มีเพียงการรับรู้ว่าน่าจะสามารถ เข้าเส้นชัยได้ในเวลา 5 ชม. ทำให้กระเสือกกระสนจ๊อกต่อไป

ผมวิ่งผ่านถนนอะไรก็จำชื่อไม่ได้หมด วิ่งและเดินตามคนอื่นข้างหน้ามาตลอด ผ่านไปได้อีก ถึงกม. 38 ผมใช้เวลาไปแล้ว 4 ชม. 15 นาที หัวเข่าซ้ายที่ปวดเริ่มมีอาการมากขึ้นทุกที ผมประคองตัวไปเรื่อย ๆ แทบจะนับ ก้าวที่วิ่งทุก ๆ เสาไฟฟ้า ผมหอบหายใจแทบจะหน้ามืด ถุงเท้าชุ่มแฉะไปด้วยน้ำที่ราดหัวมากกว่าเหงื่อซึ่งไม่ค่อย จะไหลออกมาแล้วมีความรู้สึกที่ทรมานใจที่สุดที่ร่างกายสนองตอบได้ช้ามากแต่มันก็ชดเชยด้วยระยะทางที่ เหลือ หดสั้นลงตามสำดับ

ผมรอดการชนกำแพง การเป็นตะคริว การบาดเจ็บรุนแรง และการเป็นลมมาได้ทุกอย่าง ด้วยความเร็ว ที่ลดลง ผมถึงก.ม. 41 แล้ว ผมใช้เวลาไป 4 ชม. 39 นาที นรกหรือสวรรค์ก็หยุดผมไม่ได้แล้วต่อให้คลานผมก็ ต้องเข้าเส้นชัยได้แน่นอน ด้วยสภาพ ที่ล้าสุดขีด ขาก็เจ็บ จนชาไปแล้ว คำว่าก๊อก 2 ไม่มีในพจนานุกรม ระยะ 500 หรือ 300 ม. สุดท้ายที่จะต้องเร่งสปีด เข้าเส้นชัยผมทำไม่ได้ ผมกระแทกเท้าถี่ ๆ เหยาะวิ่งด้วยความเร็วที่ผม ทำมาตลอด เกือบ 2 ชม. หลังเข้าเส้นชัยอย่างโดดเดี่ยว

 

        ผมเดินผ่านเส้นชัยด้วยความเฉยเมย ไม่ค่อยเข้าใจในอารมณ์ตัวเองเหมือนกัน แต่ที่แน่ ๆ ชีวิตไม่ใช่ นิยายที่จะได้ชูกำปั้น หรือมองฟ้า ตะโกนอะไรให้มันสะใจ ผมกลับรู้สึกอ้างว้าง เหมือนกับเสร็จภาระกิจที่สำคัญ ไปอย่างเดียวดาย 

 

         ผมรับเหรียญแล้วเดินก้มหน้างุด ๆ ต่อไป ไม่มีแม้กระทั่งการวอร์มดาวน์ ไม่มีการถ่ายรูปหรือทักทาย กับใครๆผมเดินทอดน่องไปหาแท๊กซี่กลับบ้านโดยไม่แยแสความเย็นในรถแอร์ที่อาจจะทำให้เป็นตะคริว หรือเป็นไข้ได้ ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว นอกจาก เหรียญที่กำแน่นในมือ

 

ผมได้มันคืนมาแล้ว ไฟที่ผมเพียรแสวงหามา

ผมได้มันมาแล้ว ไฟที่เอามาล้างไฟในใจ..........

 

 

 

เย็นวันนั้น..........

        ผมนำเหรียญกลม ๆ สีทองเล็ก ๆ มานั่งลูบไล้อย่างเลื่อนลอยพร้อมกับคิดถึงเหรียญแบบเดียวกันที่ได้เมื่อ ปีก่อน มันช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง ระหว่าง เจตนา บุคคล และวิถีของการกระทำ วูบหนึ่งผมคิดถึงคนๆ หนึ่ง เธอผู้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการวิ่งในชีวิตผม เสียงเพลงเบาๆ ลอยมาตามลม ผมรู้สึกปลดเปลื้องภาระออกจากชีวิต นับแต่นี้ไป ผมจะ กลับมา........

 

 

ผมมิได้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างเลิศลอย

ประสบการณ์นี้มีค่าเพียงเพื่อนักวิ่งธรรมดา

ผู้ครอบครอง หรือ แสวงหา

 

 

 

เขียนโดย...คุณปริญญา  ศุภศรี      
รองประธานชมรมวิ่งThaiRunning.com

 

ภาพถ่ายปัจจุบันกับครอบครัวที่น่ารัก

 

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค.44<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>

 

                     ประสบการณ์วิ่งแข่งครั้งแรก  โดย...ปริญญา  ศุภศรี

ความหนักของการออกกำลังกาย

ตารางการทดสอบสมรรถภาพ

การตรวจสมรรถภาพทางกาย