<% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_want_caoch_grit.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %> ต้องการโค้ช_กฤตย์

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 2ต.ค.49<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>

ต้องการโค้ช

โดย   กฤตย์  ทองคง

 

ถาม                     ตอนนี้ผมต้องการโค้ชด่วนครับ

 

สืบเนื่องมาจากเวปบอร์ดถาม-ตอบลำดับที่  740 www.thairunning.com

คนเมืองเลย

30  กันยายน  2549

 

ตอบ                     โปรดตื่น..........

                              ขณะนี้เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง   ที่หาโค้ชไม่ได้   ไม่ใช่ไม่มี   มีครับ   แต่การที่นักวิ่งระดับของเราจะมีโค้ชไว้ประจำกายไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย   มันติดอะไรๆหลายๆอย่าง   คงต้องแสวงหาความรู้   และนำไปประยุกต์ดูแลตัวเอง

 

               นักฟุตบอลแต่ละคน   ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้โดยลำพัง   แต่ต้องเป็นทีม  ฉันใด  โค้ชวิ่งกับนักวิ่งก็ฉันนั้น

 

               การที่วิ่งเองโดยปราศจากโค้ช   และให้มีความสำเร็จด้วยนั้น   แม้จะยากอยู่   และยังมีเปอร์เซนต์เพียงน้อยนิดบ้าง  พอเป็นไปได้   แต่การที่ตัวโค้ชไม่มีนักวิ่ง   ย่อมปราศจากความสำเร็จเอาเลย   สถานะของคนเป็นโค้ชจึงดูเป็นรองนักวิ่งเอามากๆ   ต้องมีผู้อื่นมารองรับความสามารถของเขาให้ปรากฏ

 

               Let’s  Say     เราต้องประสบความสำเร็จพร้อมกัน   จะขอกล่าวเฉพาะตรงมุมนี้เท่านั้นก่อนในชั้นต้น

 

               ถ้าเป็นเช่นนี้   โค้ชย่อมต้องมีนิสัยเลือกนักวิ่งเอามากๆ   ไม่ใช่จู่ๆจะ  Coaching  ใครก็ได้   ก็รู้ๆกันอยู่   คนแต่ละคนมีจุดแข็งแกร่ง และจุดเปราะบางที่แตกต่างกันหลายพันหลายหมื่นแบบ  จะเอาเป็นตายตัวไม่ได้   อีกทั้งยังมีลักษณะนิสัยมานะเพียรพยายามหรือขี้แหย๋ต่างกันอีกด้วย

 

               การที่สอนไปดีแล้ว  แต่ไม่เอาถ่านเอง  จึงไปไม่ถึงฝัน   ไม่ว่าจะเป็นเพราะนักกีฬาบกพร่อง  หรือโค้ชสอนไม่เป็นเองก็ตาม   ย่อมจะมีผลไปไม่ถึงฝั่งฝันด้วยกันทั้งคู่

 

               เวลาประสบความสำเร็จ   ยิ่งหากความสำเร็จนั้นใหญ่โตเท่าไร  โค้ชเหมือนจะตัวเล็กลงเท่านั้น  (เมื่อเทียบกับนักกีฬา)

 

               ท่ามกลางไฟแฟลชและไมโครโฟนของบรรดานักข่าวที่กรูกันเข้ามาหานักวิ่งทั้งๆที่ยังหอบตัวโยนอยู่นั้น   ไม่มีใครหรอกครับที่จะถามเขาว่า   ใครอยู่เบื้องหลังคุณที่เป็นตัวตนมายืนอยู่ตรงจุดที่ถือธงชาติอยู่ได้   ใครๆก็ล้วนยกนิ้วหัวแม่โป้งให้กับความเก่งกาจของนักวิ่ง   ความที่ต้องอดทนพากเพียรของนักกีฬา   ความมุมานะอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของแชมป์   แต่มักจะไม่นึกถึงโค้ช   ซึ่งความสามารถที่โดดเด่นนี้ของนักกีฬาก็ถูกต้องอยู่   แต่ก็เพียงส่วนเดียวเท่านั้น   โค้ชเป็นแค่เรือจ้าง   เขามาแล้ว เขาก็ไปแล้ว   เรือจ้างก็ยังแห้งเหมือนเดิม   กี่ปีต่อกี่ปี   เด็กของเรารุ่งไปกี่คนต่อกี่คน   เรือจ้างก็ยังกรอบเหมือนเดิม   พายอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น   ไม่มีใครติดเครื่องให้

 

               ติ้ดต่างว่าโค้ชขอส่วนแบ่ง  ห้าสิบ  ห้าสิบ   ซึ่งก็มักจะถูกเซ็งแซ่ว่าหากินกับความเหนื่อยของผู้อื่น   สุ้มเสียงฟังดูแล้วเหมือนโค้ชเป็นกาฝาก   อีกทั้งโค้ชเองก็มีสปิริตและจิตใจที่ใฝ่ดีงามเช่นผู้อื่นมีเหมือนกัน   แต่เวลาหิวข้าวมันทรมาน  ความข้อนี้ไม่มีใครประจักษ์เท่าตัวของโค้ชเอง

 

               ไปๆมาๆ  โค้ชเลยต้องมีบุคลิกแบบครู   เป็นปูชนียบุคคลไปเลยได้แค่ความเคารพ  แต่ไส้ยังกิ่วเหมือนเดิม

 

               การใดก็ตาม   ขาดปุ๋ยทำนุบำรุง   การนั้นย่อมขาดความงอกงามสมบูรณ์   ได้แต่แคระแกรน   โค้ชบ้านเราก็เป็นเช่นนี้

 

               เมื่อหิวข้าวทนไม่ไหว   โค้ชก็เผ่นไปทำมาหากินในปริมณฑลอื่นๆ   แม้ว่าคนพายเรือจ้างเก่งๆยังมีอยู่   แต่ไปดำนา   ไปเกี่ยวข้าว   ไปทำสวน   ไปขี่มอไซค์รับจ้าง   การทำมาหากินอัตคัด   จึงต้องย้ายที่ทำกิน   ไปมีงานประจำที่อื่นหมด   และฝังตัวอยู่กับงานประจำกันหมดแล้ว   เราไปดูที่ท่าเรือจึงเห็นแต่ท่าเรือเปล่าๆ  แต่เรือจ้างและคนเรือหายไปไหนหมดก็ไม่รู้

 

ทีนี้จึงพล่านซิครับ   ข้ามฝั่งไม่ได้   มันจึงรีๆขวางๆ  เกาหัวแกร็กๆ

 

               เวลาได้เหรียญทองเข้าประเทศมา   นักกีฬาได้ไปเป็นสิบๆล้าน   โค้ชได้เท่าไร?????สัดส่วนเป็นกี่เปอร์เซนต์  เรโชเท่าไรต่อเท่าไร   การฝึกเด็กแต่ละคน   ไม่ใช่จะสำเร็จกันทุกราย  จะให้เป็นแชมป์กันทั้งร้อยย่อมเป็นไปไม่ได้  ได้มาแค่คนสองคนเท่านั้น   โค้ชบางคนแม้จะเก่งแต่ก็โชคร้ายไม่มีนักกีฬาที่เขาดูแลประสบความสำเร็จเลยก็ย่อมเป็นไปได้ของธรรมดา   ตัวโค้ชไม่ได้เป็นสิ่งแวดล้อมเดียวที่นักกีฬามี   ปัจจัยภายนอกอื่นมีมากเกินไปที่โค้ชจะเลือกกำหนดได้

 

               ครูชาวเขา   จะถูกมองว่าอย่างไรเล่า   เมื่อเด็กของครูไม่เคยเป็นนายกสักคน   ไม่เคยมีลูกศิษย์รายใดได้ติดดาวสัญญาบัตร  และเข้าไปพูดในสภา

 

               คงไม่สามารถคาดหวังได้ว่า   นักเรียนของครูจะเป็นนักคิด  และปราชญ์ทางสังคม  หรือดุษฎีกิติมศักดิ์   แค่เพียงโตขึ้นรู้จักคิด  รู้ทำ  อดทน  อดออม  อดใจ  ไม่ขายตัว  ไม่ขายเสียง  ทวงศักดิ์ศรีเป็น  พึ่งตนเองได้   แค่นี้โค้ชเอ้ยไม่ใช่     ครูชาวเขาก็ยินดียิ่งนักแล้ว

 

               อย่า........อย่า.............โปรดอย่าเข้าใจว่า   ลุงเป็นโค้ช  และไอ้โค้ชคนนี้ลุกขึ้นมาขอส่วนแบ่ง   เข้าใจผิดแล้ว  น้องเอ๋ย

 

               ลุงไม่ใช่โค้ช  ลุงไม่ใช่อาจารย์  ลุงไม่ใช่คนเรือจ้าง  ลุงคือลุง คือคนที่มีอายุแล้ว  เกิดมานานกว่าพวกเรา  แค่นั้นเอง

 

               ถ้ากล่าวให้จำเพาะๆลงไป   ลุงคือนักวิ่ง  ลุงเคยวิ่งมานานแล้ว   ลุงวิ่งมาไกลแล้ว  เหยียบกับระเบิดมาก่อนพวกเราแล้วด้วย   มาถึงฝั่งน้ำก่อนพวกเราบางคน  มาหาโค้ชเอ้ยมาหาเรือจ้างก่อนพวกเรา   แล้วตระหนักว่า  “ไม่มีอยู่”  ก่อนพวกเรา  ที่ผ่านมาแก้ปัญหาด้วยการว่ายไปเองตามรอยบรรพบุรุษที่รอดบ้าง  จมหายบ้าง  กว่าลุงจะไปถึงฝั่งขะโน้นก็สำลักไปหลายอึก  ครูดหินไปหลายแผล   ผลุบหายไปในวังวนน้ำหลายอึดใจ   ยังไม่ตายมาได้ไงก็ไม่รู้เหมือนกัน

 

               ลุงไม่เคยเรียนมาทางโค้ช   ไม่เคยมีใครสอนให้พายเรือ   แต่ก็ยอมรับว่า  ประสบการณ์นานพอให้รู้อะไรเลาๆอยู่บ้าง   ไม่ถึงกับไม่รู้เสียทีเดียว   ลุงไม่ใช่โค้ช  แต่เป็น  “นักวิ่งบอกต่อ”  ว่าไอ้ตรงนั้นที่น้ำมันหมุนวนเป็นเกลียวน่ะอย่าเข้าไปใกล้   จงห่างๆไว้เลย  วังวนนี้เฮี้ยนนัก   เดี๋ยวตาย  เดี๋ยวหายไป  ไม่กลับมาเยอะเสียนักแล้ว   เข้าไปน่ะมันง่าย   แต่กว่าจะออกมามันเป็นอีกเรื่องเลย

 

               ทัศนคติของนักวิ่งชาวไทยส่วนใหญ่  ใช่หรือไม่ว่า   ไม่คาดหวังว่าจะต้องจ่ายให้เป็นค่าความรู้ที่ได้มา

“แหม........บอกหน่อยก็ไม่ได้    จะเป็นไรไป     แค่นี้”

“แม่ง.........หวงวิชา”

 

               ในโลกศตวรรษที่ 21  นี้  ตัวองค์ความรู้   หรือผู้ที่ยึดกุมสภาพองค์ความรู้นั้น   มีราคาที่ต้องจ่าย  บางครั้งไม่ได้จ่ายให้กับตัวผู้ให้ความรู้โดยตรง  แต่จ่ายให้กับวิธีการที่จะเอื้อมถึงผู้นั้น   ไม่ใช่ของฟรี   แม้แต่เดิม  ไม่ได้เป็นอย่างนี้ก็ตาม

 

               หากเราย้อนหลังไปดูเพียงไม่กี่ปี   ตอนนั้นเราก็ไม่รู้สึกว่า  “น้ำดื่ม....ต้องจ่าย”   ใช่ไหม   ไปที่ไหนขอดื่มฟรีย่อมได้และควรให้เสมอ   แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว   ขนาดจะเข้าส้วมเพื่อเอาออกยังต้องจ่ายเลย

 

               เล่ามายาวไม่ใช่เพื่อบอกว่าจะเอาตังค์   เล่าเพื่อแจ้งข่าวให้พวกเราทราบว่า   “เรือจ้างหมดไปนานแล้ว”   และถ้าเราจะต้องจ่ายให้โค้ชเพื่อมาดูแลตัวเราในการฝึกพัฒนาก็คงแพงมากๆ   แพงจริงๆ  และลุงเองก็ไม่คิดว่าจำเป็นถึงขั้นนั้นหากวิ่งเพื่อสุขภาพ

 

               อยากจะกล่าวว่า   ตัวเราต้องแสวงหาความรู้เวชศาสตร์กีฬาเป็นพื้นฐานเอง   กลวิธีวิ่งใดที่ปลอดภัย   ทำอย่างไรจะไม่บาดเจ็บ    การพัฒนาความเร็วจะต้องทำอย่างไร    วิ่งอย่างไรวิ่งจนแก่   เจ็บแล้วรักษาอย่างไร   หาหมอที่ไหน   ตลอดจนวิธีจัดการกับความคิด  สปิริต  จิตใจ   ของพวกนี้ต้องติดตามอ่านจากแหล่งต่างๆ  ไม่ว่าจากหนังสือหรือในเน็ต   พวกเราปฏิเสธที่จะไม่ใช้สายตาอ่านไม่ได้แน่นอน   แม้ดิจิตอลจะมาแทนกระดาษแล้ว   แต่วัฒนธรรมการอ่าน   ย่อมไม่มีอะไรมาทดแทนได้   อย่างน้อยก็ในอีกร้อยกว่าปีข้างหน้าอยู่ดี

 

               แล้วเราจึงเอาองค์ความรู้นั้นมาประยุกต์เข้ากับตัวเอง   เป็นโค้ชตัวเองให้ได้   มุ่งเป้าประสงค์  “เอาตัวให้รอด”  และบอกต่อไปพลางๆก่อนที่ประชาคมนักวิ่งของเราจะสังคยานา  “คนเรือจ้าง”  ใหม่ให้เป็นรูปเป็นร่างจริงจัง  ซึ่งยังอีกนานนัก   ไม่ใช่เวลาอันใกล้นี้แน่นอน

 

               สำหรับลุงเองหากใครจะขอความรู้หน่อยย่อมได้เสมอ   แต่คงแค่เขียนให้อ่านตามบทความวิ่งๆ   และตอบข้ออาจสงสัยในกระทู้   แต่คงไม่อยู่ในวิสัยที่จะตามลงไปกำกับพวกเราแต่ละคนในการฝึกวิ่งทุกครั้งได้   ไม่อยู่ในวิสัยที่จะเขียนตารางวิ่งให้แต่ละคนได้   เอาไปเฉพาะแนวทางฝึก  วิธีเขียนตารางเองให้ได้และหลักการอย่างกว้างๆ   Do and Don’t  whatever  แล้วไปวางแผนเขียนโปรแกรมวิ่งเอง  สลับกับการถามใหม่มาเป็นระยะๆ

 

นักวิ่งบอกต่อคนนี้   พร้อมจะไปหาพวกเรา   หาก

 

               จัด  Class  ขึ้นมา   กำหนดหัวข้อให้มาพูดเรื่องอะไร  อยากฟังเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับวิ่งๆ   รวบรวมนักวิ่งขี้สงสัยที่อยากพัฒนาปรารถนาจะข้ามฝั่งรวมๆกันกี่คนก็ได้   4-5  คนก็ยังได้ในจังหวัดเดียวกัน  ไม่ต้องมาก  และไม่ต้องเก่ง  เก่งแล้วลุงจะไปทำไม   ขอเพียงแต่ตั้งใจจริง

 

               ไม่ต้องเช่าห้องประชุม   แค่ห้องรับแขกในบ้านพวกเราคนใดคนหนึ่ง   ไม่ต้องมีอาหาร   ขอแค่น้ำจิบบรรเทากระหาย   ขอเกียรติช่วยไล่หมาไม่ให้มากัด  คุยเรื่องที่ตั้งไว้สัก  1-2  ช.ม.   ตอบคำถามอีก 1 ช.ม.  ลุงไม่จัดนะ   จัดกันเอง   แล้วเชิญมา     089 6402264 (ตัว) ,  056 331254   (บ้าน)

 

               ฟังแค่คนเดียวไม่คุ้มเหนื่อย   แต่ถ้ามาฟังมากนักจะตอบข้อสงสัยได้ไม่กระชับแจ่มแจ้ง   ไม่อบอุ่นสนิทสนม  และต้องเสียเวลารวบรวมสมาชิกนาน   ขอแค่ค่ารถไปกลับ  หรือค่าใช้จ่ายอื่นใดตามมูลค่าจริงก็พอ

 

               มีเหมือนกัน  ที่คนหมั่นไส้   ไอ้หมอนี่น่าทุเรศ   ตั้งตนเป็นเกจิ   มึงเป็นใครกัน  ทำสำบัดสำนวนสร้างมาดนักวิชาการคำเขื่องคำโต  ทราบครับคนอย่างนี้มีอยู่เสมอทุกยุคทุกสมัย   ก็ไม่เป็นไร   เอาเฉพาะผู้สนใจ   เอาเฉพาะรายที่ปรารถนาข้ามฝั่ง   เอาเฉพาะที่น้อมรับความรู้จริงๆ   ชีวิตเราจะอยู่กันอีกกี่ปีกัน  ความรู้ความชำนาญจะได้เอาไปใช้กัน   ไม่ตายไปกับตัวเอง

 

 

13:20  น.      3  ตุลาคม  2549