ศรีรัตน์กับประสบการณ์วิ่ง 52 K

 

โดย...ศรีรัตน์

 

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ นักวิ่งที่น่ารักทุกท่าน ดิฉันเป็นนักวิ่งสมัครเล่นอีกคนนึ่งซึ่งรักการออกกำลังกาย โดยสิ่งนี้ค่อยๆเกิดขึ้นกับตัวเองสะสมทีละเล็กละน้อยจนกลายเป็นนิสัย กลายเป็นชีวิตประจำวันเรียกได้ว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกับการกิน-นอน-พักผ่อน ทำงานแล้วก็ออกกำลังกาย

ประวัติการวิ่งเริ่มจาก การได้เข้ามาทำงาน กับนาย คือมร. โทมัส แท็ปเกน ซึ่งท่านเป็นคนรักการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ ในขณะนั้น ดิฉันยังออกกำลังกาย โดยการเต้นแอโรบิค และใช้อุปกรณ์ในห้องยิมอยู่ เหตุจากนายชอบวิ่ง เลยติดตามนายไปวิ่งด้วย ครั้งแรกก็ประเดิมด้วย พัทยามาราธอน แต่ดิฉันวิ่งแค่ฮาล์ฟนะค๊ะ (ความตั้งใจเดิมจะลงแค่ มินิ แต่นาย สมัคร ฮาล์ฟ ให้ ก็เลยตกกระไดพลอยโจน) วิ่งครั้งนั้น ทำเวลา 2.44 นาที ติด 1 ใน 10 ด้วย ก็รู้สึกดีใจ ตามนายวิ่งเป็นประจำไม่เคยว่างเว้นจากสนามวิ่งเลย ทุกวันอาทิตย์ เราจะไปวิ่งกัน ไม่ใช่เป็นการแข่งขันกับใคร แต่วิ่งแล้ว สนุกและมีความสุข ได้พบปะนักวิ่งท่านอื่นๆ ที่น่ารัก รู้จักคนมากขึ้น วิ่งไปคุยกันไป แซวกันบ้าง แซงกันบ้างสนุก เราเลยกลายเป็นนักวิ่งไม้ประดับไปในระยะแรก ต่อมาก็เริ่มพัฒนาขึ้น เร็วขึ้น ประกอบกับมีนักวิ่ง หญิงจำนวนน้อยเราก็เลยติดอันดับ จากปี 1997 เดือน กรกฎา เป็นต้นมาก็เลยวิ่ง วิ่งตลอด

มาถึงวันวิ่ง อัลตร้า มาราธอน ที่เกาะสมุย ระยะทาง 52 กิโลเมตร ได้รับการชักชวนจากผู้ใหญ่ ที่นับถือ ท่านหนึ่งให้เดินทางไปกับคณะนักวิ่งจากกรุงเทพฯจำนวน 10 ท่านเลยตอบตกลงเป็นผู้ประส่านงานการเดินทางและการแข่งขัน พอไปถึงทั้งคณะได้เดินทางไปยังจุดรับสมัครนักวิ่ง ทุกท่านที่ไปกับดิฉันตั้งใจไปจากกรุงเทพฯ ว่าจะวิ่ง 52 กม.มีดิฉันคนเดียวจะวิ่ง 26 กม. พอถึงเวลาสมัครจริง เอาอีกแล้ว คุณป้าบัวทองลงสมัคร52กม. แล้วหันกลับมาถามว่าจะลงเท่าไหร่ละหนู เท่านั้นเองก็เลยทำให้ต้องตกกระไดอีกครั้ง เอาละ 52 กม.ก็ 52 กม. เป็นไงเป็นกันเค้าให้เวลา 8 ชั่งโมงเราก็วิ่งมันให้เต็ม 8 ชั่วโมงก็แล้วกัน ตกกลางคืนนอนไม้หลับกังวลว่าจะวิ่งได้อย่างไร ในชีวิตผ่านมาราธอนมาแค่ 1 ครั้งเท่านั้นเอง

 

 

เช้ามาก็เตรียมตัวพร้อม ปล่อยตัว 8 โมงเช้า ในวันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าใส ฟ้าสีฟ้า ทะเลสีคราม ไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียว บรรยากาศ น่านั่งอยู่ใต้ร่มไม้ชายทะเลมากกว่าที่จะมาวิ่ง 52 กม. นักวิ่งไม่มากเท่าไหร่ ในวันนั้นบรรยากาศเป็นกันเอง มีดารามาร่วมงานด้วย

โชคดีที่วันนั้นใส่เสื้อแขนยาวเป็นผ้า Cool Max ไม่เช่นนั้นคงเห็นแต่ตาขาวแน่นอน เราเริ่มวิ่งเกาะกลุ่มคุยกันไปเรื่อยๆ ไม่มีใครสนใจจะทำเวลาเท่าไร่นัก คิดว่าถึงเส้นชัยในเวลาที่กำหนดก็พอแล้วเราวิ่งผ่านโรงแรม, ร้านอาหาร, ตลาด บางจุดเปลี่ยวไม่มีผู้คนเลยรู้สึกกลัวชอบกล เพราะระยะทางไกลมาก ระยะห่างระหว่างนักวิ่งเลยมองไม่เห็นกัน ดิฉันพก Energy Bar และ Energy Drink พร้อมทั้ง ครีมกันแดดไว้ทาตลอดทาง วิ่งไปยันเที่ยง เริ่มหิวก็ควักเอา Energy Bar มาทาน หิวน้ำก็มีรถบริการ ให้น้ำตลอดทาง (ไม่มีจุดให้น้ำตามปกติเหมือนงานวิ่งอื่น แต่จะมีรถ 2 คัน ขับวนรอบเกาะคอยให้น้ำให้อาหาร, เครื่องดื่มเกลือแร่ถึงมือนักวิ่งตลอดแล้วก็คงช่วยดูแลความปลอดภัยให้แก่นักวิ่งด้วย)

วันนั้นดิฉันภาวนาว่าขอให้มีเมฆมาบังแดดหน่อยเถอะจะได้ร่มบ้างแต่ไร้ผล ถนนก็โล่งมากรถราน้อย แต่รถวิ่งกันเร็ว วิ่งไปก็คิดไปว่าเอ นี่มันกี่กิโลกันแล้วหน้า พอถึงกม.ที่42 ก็คิดต่อไปอีกว่าเหลืออีกหนึ่งมินิมาราธอนนะ สู้ตายค่ะ คนอื่นเขาทำได้เราก็ต้องทำได้เช่นกัน หลังจาก 42 กม.มีความรู้สึกว่าเราขับเคลื่อนไปด้วยแรงอัดภายในไปเรื่อยๆแบบว่าอย่างไรก็ถึงช้าแต่ชัวร์ ผู้คนชาวเกาะที่ทราบว่ามีการแข่งขันก็ออกมาให้กำลังใจวางน้ำให้ดื่มบ้างก็วางผลไม้และเรียกพักผ่อน บางจุดดิฉันรู้สึกเมื่อยหลังก็ลงนอนที่ศาลาพักผู้โดยสารรู้สึกดีขึ้นก็มีแรงวิ่งต่อบางคนเห็นเราวิ่งก็ทำหน้าฉงนว่าเอพวกนี้บ้าหรือเปล่า แดดร้อนเปรี้ยงๆเที่ยงวันยังวิ่งกันอยู่อีก คนหรือเปล่า บางช่วงเป็นทางชันมากเช่นบริเวณ Big Rock เราต้องเดินขึ้น ขาลงก็ต้องค่อยๆเดินลงเหมือนกัน ไม่มีแรงวิ่งลงแค่ประคองตัวเท่านั้น แต่ความสุขที่เกิดขึ้นขณะวิ่งไม่สามารถบรรยายได้ เราวิ่งชมวิวไปเรื่อยๆเจอผู้คนก็คุยกับเค้าทักทายกันอย่างคุ้นเคย ไม่ค่อยมีใครแซงใครทุกคนรักษาระยะห่างไว้เป็นอย่างดีจนเหลือ1กม.สุดท้ายมีนักวิ่งที่เข้าเส้นชัยไปแล้วย้อนมารับเรารู้สักมีแรงเฮือกสุดท้ายที่จะสปีดเข้าเส้นชัยความรู้สึกตอนนั้นรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองอย่างน้อยเราก็มีความอดทน ฟิตเอาชนะตัวเองได้ หลังจากเข้าเส้นชัย รับป้ายอันดับ เราทุกคนยังไม่ไปไหนตั้งตารอว่าใครจะเป็นคนเช้าเส้นชัยคนต่อไป เราช่วยให้กำลังใจเค้าให้ทุกคนสามารถพิชิตระยะทางให้ได้ คนสุดท้ายของการแข่งขันคงเป็นใครไม่ได้นอกจากอาจารย์สุดยงค์คนเก่งของเรา หลังจากนั้นเราแยกย้ายกันไปพักผ่อนรอเวลาแจกรางวัลในช่วงงานเลี้ยงตอนค่ำ ตัวดิฉันเองตรงรี่ไปหาพนักงานนวดของโรงแรมทันทีเพื่อนวดคลายกล้ามเนื้อและหลับพักผ่อน

 ตอนค่ำมีงานเทศกาลอาหารทะเลซึ่งทางเกาะสมุยจัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์เกาะ มีผู้คนเข้าร่วมงานมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศการแจกรางวัลเริ่มขึ้นด้วยความเป็นกันเอง ความรัก ความห่วงใย และอบอุ่น เกือบทุกคนในงานได้ถ้วยรางวัลและของรางวัล เพราะนักวิ่งส่วนใหญ่กลับภูมิลำเนากันหมดเหลือแต่กลุ่มผู้ติดอันดับและกลุ่มที่ต้องรอกลับในวันรุ่งขึ้นเท่านั้นที่อยู่ในงาน เราอยู่ฉลองกันจนดึกแล้วก็เดินกลับที่พักโดยเดินเลาะชายหาดประมาณ 3-4 กม.แทนที่จะขึ้นรถกลับเดินกันไปคุยกันไปจนถึงที่พัก ทุกคนคงหลับเป็นตายเช่นเดียวกับดิฉัน หลับไปพร้อมกับความภาคภูมใจและความอ่อนล้าความประทับใจที่ไม่มีวันลืม

- ขอขอบคุณ เกาะสมุย ที่จัดงานนี้ขึ้นมา

- ขอขอบคุณ ผู้ใหญ่ท่านนั้น(ไม่ขอเอยนาม) ที่ให้โอกาสดิฉันได้ทำในสิ่งที่ไม่คิดว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้ทำ

- ขอขอบคุณ ป้าบัวทองที่เป็นกำลังผลักดันให้ดิฉัน .สู้.

ขอขอบคุณ Organizer ที่ดูแลการจัดงานในครั้งนี้ด้วยใจถ้าไม่มีท่านเหล่านี้ ดิฉันคงไม่มีทางพิชิต 52 กิโลเมตรในครั้งนี้ได้

-ขอตราไว้ในดวงใจตราบนานเท่านาน หวังว่าคงมีงานวิ่งแบบนี้อีกเพื่อนักวิ่งที่รักการวิ่ง และจะได้จดบันทึกไว้ในความทรงจำว่าครั้งหนึ่งในชีวิตได้วิ่ง 52 กม. อัลตรามาราธอนมาแล้ว

-ศรีรัตน์ พูลเอี่ยม -นักวิ่ง สมัครเล่นจาก “อมารีรันเนอร์”