ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.50

เมื่อนักวิ่งตายขณะวิ่ง

โดย   กฤตย์  ทองคง

 

               เมื่อคืน   รับโทรศัพท์จากพวกเรา   เล่าให้ฟังว่า   เพื่อนนักวิ่งที่เขาเคารพนับถือ   และเป็นผู้ที่ชักชวนเขาเข้ามาในวงการ  เสียชีวิตขณะกำลังวิ่ง

                นอกจากเขาจะเสียใจแล้ว  ชั่วขณะยังสับสนกับความคิดและข้อสรุปที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ตำหูตำตาถึงเหตุร้ายที่เขาไม่คิดว่าน่าจะเกิดขึ้น   ยังไม่ทันตั้งตัว   เขาก็ถูกซ้ำเติมจากคำพูดภายนอก  ประชดประเทียดทำนองว่า   “ใครว่าวิ่งแล้วดี เห็นไหมวิ่งแล้วตาย”   ยิ่งทำให้ภาวะจิตใจที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ยิ่งปั่นป่วนยิ่งขึ้น   และนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ยกหูโทรศัพท์มาคุยกับผู้เขียน

                ทำให้ผู้เขียนตระหนักขึ้นมาว่า  อีกบทบาทหนึ่งที่นอกจากเป็นผู้ตอบปัญหาการฝึกต่างๆแล้ว   ก็ยังมีหน้าที่ตอบปัญหาหัวใจด้วย (วิ่ง)

                ผู้เขียนได้ปลอบเขาไปว่า   ที่อยากรู้  “ตายเพราะอะไร”  นั้นเราตอบไม่ได้หรอก   เป็นหน้าที่ผู้ชำนาญการ   ซึ่งในที่นี้ก็เป็นแพทย์ชันสูตร   ซึ่งมันก็มีกรรมวิธีเฉพาะในการแสวงหาข้อเท็จจริง   ซึ่งมันนอกเหนือจากความสามารถเพื่อนนักวิ่งทั่วไปจะทราบได้

               จะไปรู้ได้อย่างไรเล่าว่า  เบื้องหลังเขาเคยใช้ยาอะไร  ลับหลังเราเขามีพฤติกรรมอย่างไร  ทั้งเรื่องของการฝึกและการประพฤติปฏิบัติตัวอื่นๆ  อีกทั้งสิ่งแวดล้อมที่เขาดำรงอยู่แฝงอันตรายทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัวอย่างไร

                ประวัติการทำตัว  หรือเวชระเบียนการออกกำลังกายและความเจ็บป่วยของผู้วายชนม์  ย่อมจะต้อง

ถูกเปิดขึ้นมาดู  หากไม่มีอยู่  ก็ต้องเป็นเรื่องของการสืบค้นโดยผู้ชำนาญการต่างๆ

                มนุษย์เราตายมาทุกที่   ตายในสนามรบ , ตายในสำนักงาน , ตายคาอก , ตายในลิฟท์ , ตายบนเครื่องบิน , ตายในอุบัติเหตุ  ฯลฯ  สารพัดเพราะมันเป็นเรื่องของมวลมนุษย์เป็นล้านๆคน  ย่อมเกิดขึ้นได้ของธรรมดา   ดังนั้นคนเราจะตายในขณะวิ่งบ้างย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก   ความแปลกน่าจะอยู่ที่ตัวความเห็นว่า การวิ่งเป็นสาเหตุของการตาย คิดได้ไงที่อนุญาตให้ตายได้ทุกที่ยกเว้นตอนวิ่ง อะไรที่อยู่เบื้องหลังสมมุติฐานของผู้ถามที่คนเราย่อมตายได้ในทุกที่ยกเว้นขณะวิ่ง

                อนึ่ง   สิ่งที่ผู้เขียน จะชวนให้พวกเราขบคิดกันต่อไปก็คือ   ใช่หรือไม่ว่า   การตายในลิฟท์ย่อมไม่ได้หมายความว่า  ตายเพราะลิฟท์   หรือการตายบนเครื่องบินไม่ได้หมายความว่าตายเพราะเครื่องบิน

                ก็คงต้องดูกันเป็นรายๆไปว่า   ที่จากไปขณะอยู่ในลิฟท์หรือบนเครื่องน่ะ เป็นเพราะอะไร   แรกที่สุดคงต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน   เออ........ลิฟท์มันขาดตกตูมลงมา  เพราะเครื่องบินมันตกตายหมดลำก็ว่ากันไป  แต่หากไม่ใช่ก็ต้องเขยิบไปพิจารณาประเด็นอื่นๆ มีใครทำร้ายมีมีดปักหลังอยู่หรือไม่  ถ้าไม่มีพิษร้ายอะไรอยู่ในท้องหรือผิดสำแดงในตัวก็ไล่ดูไปเรื่อยๆ   ซึ่งก็จะเปลี่ยนผู้ชำนาญการไปตามความเชี่ยวชาญจำเพาะ  เป็นแพทย์มาดูว่า  ตายเพราะรับสารอะไร  ถ้ายังไม่พบอีกก็ว่าลึกลงไปอีก  ที่ต้องสอบถามครอบครัวว่าผู้เสียชีวิตมีนิสัยชอบอะไรเกลียดอะไร   เพื่อหาเบาะแสรูปรอยชีวิตประจำวันที่สร้างพฤติกรรมสะสมขึ้นมาชุดหนึ่งที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป และจากรูปรอยพฤติกรรมนี้ไปประสานกับสิ่งแวดล้อมในลิฟท์หรือบนเครื่องบิน มันอาจให้ผลลัพธ์เป็นเหตุการณ์นั้นๆขึ้นมา จึงอธิบายกันได้ว่าเป็นเพราะอะไรต่อไป

                เหตุการณ์ที่นักบอลระดับโลกตายเมื่อไม่นานมานี้  ก็เพราะอย่างนี้แหละ  คลำกันไปจากความไม่น่าจะเกิดขึ้น  จากความคาดหวังที่ประชาชนคิดว่า  นักกีฬาระดับนี้น่าจะเป็นประชากรที่อยู่ในกลุ่มสุขภาพแข็งแรงเป็นเลิศ   นำไปสู่การพบภายหลังว่า  เขารับสารบางอย่างเข้าไป   แล้วมันถูกวิทยาศาสตร์อธิบายต่อว่ามันไปมีผลอะไรที่ต่อเนื่องเป็นชั้นๆ  นี่ไปมีผลต่อโน่น  โน่นไปมีผลต่อนั่น (อิทัปปจยตา)  สุดท้ายก็ตายลง

                และถ้าเราตามเรื่องมาตลอด  เราก็จะแจ่มแจ้งไม่แปลกใจ  แต่กว่าเรื่องจะเฉลย  กระแสข่าวก็เลือนไปแล้ว  หนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้รายงานข่าวว่าเรื่องของเรื่องผู้เชี่ยวชาญสรุปในตอนท้ายว่าเป็นเพราอะไร

                พอวันดีคืนดี  มีข่าวนักกีฬาตายอีก   ประโยคร้ายๆก็ตามมา   “ใครว่าวิ่งแล้วดี เห็นไหมวิ่งแล้วตาย”   สร้างความขุ่นข้องใจปนกับความตระหนกให้กับวงการกีฬาเป็นคราวๆ

                เห็นอย่างนี้เป็นพักๆมาตลอดหลายสิบปี  กรณีคล้ายอย่างนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด

                บางทีสาเหตุเองก็ลึกล้ำ  จนเรื่องที่คลี่คลายออกมาปรากฏว่าไม่ใช่สาเหตุการตายก็เป็นได้  เป็นการสรุปผิด  ยังมีอยู่เสมอ   อย่าคาดหวังว่าผู้เชี่ยวชาญต้องสรุปถูกต้องทุกครั้ง   ต้องเข้าใจประโยคที่ว่า   “ตราบใดเท่าที่ความรู้เทคนิควิทยาสมัยใหม่และการสืบสวนสอบสวนจากผู้ชำนาญการเฉพาะอย่างเต็มความสามารถระบุว่า เขาตายเพราะ...................”   ตามด้วย    “หากความรู้ใหม่ที่สนับสนุนด้วยข้อมูลใหม่ที่จะทยอยเข้ามาในอนาคตเป็นอย่างอื่นเราก็ย่อมสามารถทำความเข้าใจถึงสาเหตุการตายได้ใหม่เสมอ

 ตัวอย่าง

               คนมันหัวใจวายหมดสติกระทันหัน   ฟุบคาพวงมาลัยขณะขับรถ   ที่หากได้รับความช่วยเหลือทันท่วงทีจากการปฐมพยาบาล  เขาย่อมฟื้นได้  แต่วินาทีนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้  รถเฉพุ่งออกนอกเส้นทางไปปะทะกับสิ่งอื่นเช่นสิบล้อหรือจ๊ะเอ๋กับโค่นไม้ใหม่กระทั่งลงคูสำลักน้ำตาย   นั่นจึงเป็นสาเหตุการตายที่ถูกระบุในเอกสารว่าตายเพราะอุบัติเหตุหรือเพราะหลับในซึ่งไม่ใช่   แต่สาเหตุจรงๆที่ไม่มีใครรู้เลยก็คือ   ผู้วายชนม์มีอาการแน่นหน้าอกมาเป็นระยะๆนานมาแล้ว  แต่ไม่ได้ได้รับการใส่ใจจากเจ้าตัว  ไม่สนใจสุขภาวะตนเอง  จึงปราศจากการดูแลของแพทย์เรื่องความปลอดภัย   การตายครั้งนี้จึงยอมเป็นเพราะโรคหัวใจเป็นสาเหตุไม่ใช่เรื่องอื่นๆ

                กรณีวินิจฉัยผิดเช่นนี้  ถามว่าน่าจะเกิดขึ้นเสียมิรู้กี่รายแล้ว  แต่เราไม่มีรายงานเรื่องอย่างนี้เลยใช่ไหมว่าที่จริงเป็นเพราะอะไร

                บอกแล้วตายในรถไม่ได้แปลว่าตายเพราะรถ , ตายในลิฟท์  ไม่ได้แปลว่าตายเพราะลิฟท์  แล้วทำไมตายขณะวิ่งจึงต้องหมายความว่าตายเพราะวิ่งด้วย

               อนึ่ง.....ตราบจนทุกวันนี้  เรายังหาวิจัยไม่ได้สักเปเปอร์หนึ่งเลยที่สรุปว่า  การวิ่ง(ทุกชนิด)  เป็นสาเหตุการตายได้   ซึ่งในความหมายว่าที่มาจากการบีบเค้นของวิ่งที่กระทำต่อร่างกายเป็นสาเหตุนั้น   ไม่มีเลย   ตั้งแต่สร้างโลกมา   ยังไม่มีรายงานว่าเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้   ที่ใกล้เคียง   สืบไปสืบมาอาจพบว่า  เป็นเรื่องอื่นๆไม่ใช่ตัวของการวิ่งเอง เช่น อาจเป็นเพราะความไม่รู้จักบันยะบันยังประสานกับการอดนอนบวกกับตัวยาอะไรบางอย่าง หรือสารกระตุ้น  ปัจจัยโน้นผสมปัจจัยนี้  รวมๆกัน  ได้ส่วนผสมที่ลงตัว ก็เลยตาย  ก็เท่านั้นเอง

                ผู้เขียนอยากจะกล่าวว่า   ประโยคที่เจ็บปวดที่ไม่มีทางที่นักวิ่งใดจะยินดีได้ยินก็คือประโยคนี้แหละ  “ไหนว่าวิ่งแล้วดี  เห็นไหมวิ่งแล้วตาย”   น่าจะเป็นประโยคที่ออกมาจากปากผู้พูดที่ไม่ได้เป็นนักวิ่ง  จากคนนอกวงการ ที่พอดีพอร้ายพวกเรากันเองที่ยังไม่แจ่มชัดนักกับข้อเท็จจริงเลยพลอยหวั่นวิตกไปด้วย

                ส่วนในตัวของนักวิ่งเอง   ร้อยละเกือบร้อย  แม้ไม่เข้าใจว่า มันเป็นเพราะอะไร  ก็เห็นคุยกันว่า   “อย่างไรก็ตาม  ฉันจะวิ่งต่อ   ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะเหตุใด  ก็ไม่สามารถเปลี่ยนฉันจากวิ่งกลายเป็นเลิกวิ่งได้”

               ใช่ไหมครับ   พวกเราคิดกันอย่างนี้ใช่ไหม   บางรายถึงกับสำทับหนักแน่นด้วยสายเลือดนักวิ่งเข้มข้นว่า   ”ถ้าจะตายเพราะวิ่งก็ให้มันตายไป  ยังไงๆฉันก็ไม่เลิกวิ่ง”    ผู้เขียนทายถูกไหม

                ผู้เขียนจึงอยากบอกพวกเราว่า   ขอให้พวกเราจงวิ่งต่อไป และอย่างปลอดพ้นจากความวิตกกังวลนั้นด้วย   แม้เราจะยังไม่รู้ว่าเขาตายเพราะอะไร   แต่แน่ใจได้อย่างหนึ่งว่า   การวิ่งไม่ได้เป็นสาเหตุของการตายของใครเลย  ตั้งแต่สร้างโลกนี้ขึ้นมา  (ไม่เว้นแม้แต่ฟิดิปปีดีส)   แล้วทำไมจะมาเป็นสาเหตุให้ตัวฉันตายเป็นรายแรกได้เล่า   ขอเพียงแต่ว่า ให้พวกเราวิ่งอย่างใช้ความรู้และสามัญสำนึกและใส่ใจในคำเตือนและเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนและหลังวิ่งต่างๆที่เอื้อต่อสุขภาพนั้นเสมอ

                ส่วนเจ้าของคำพูด    “ไหนว่าวิ่งแล้วดี  เห็นไหมวิ่งแล้วตาย”    นั้นก็คงต้องปล่อยเขาไป   คำพูดของเขามีนัยยะสรุปว่า   “หากใครรักตัวกลัวตายก็จงเลิกวิ่งเสียดีๆ”   ซึ่งยังมีนัยยะเสริมอีกว่า  ผู้พูดก็คงจะไม่วิ่งแน่ๆในอนาคต

                จากเหตุผลที่กล่าวมาเรานักวิ่งจึงไม่ต้องไปกังวลว่า  เหตุการณ์นักวิ่งเสียชีวิตขณะกำลังวิ่ง  จะมีผลต่อตนเอง   แต่กลายเป็นว่า  ผู้พูดประโยคร้ายนั้นจะได้รับผลนั้นไปคือ  เขาตัดเรื่องการวิ่งออกไปจากการพิจารณาออกกำลังกายของเขา ยังไงๆก็ไม่วิ่ง  ซึ่งเขาเองก็จะได้ผลร้ายจากการสรุปเช่นนั้นด้วยตนเอง คือไม่ได้รับผลดีจากการวิ่ง  เท่ากับตัดโอกาสตัวเองเพราะนั่งเทียนสรุปไม่มองอย่างมีวิจารณญาณ

                สำหรับผู้มุ่งหวังที่เราจะชวนมาวิ่งต่างๆ  เราสามารถให้เหตุผลกันเป็นรายๆไปว่าทำไมคนเราจึงควรวิ่ง  ก็อธิบายกันไปด้วยความรักและอาทร

 บางที  วิธีพูดที่ดีที่สุดกับคนโง่เขลาคือ   “การไม่ต้องพูด”   ปล่อยให้คนพูดจากระทบกระเทียบเรื่องวิ่งในทางร้ายๆให้มันอดวิ่ง  และไม่ได้รับผลดีจากการวิ่งที่มีมากท่วมท้นกว่าอันตราย(ที่ป้องกันได้)ต่อไป  สมน้ำหน้า


10.15  น.

18  มิถุนายน  2550 

 

                                    เรื่องนักวิ่งวิ่งแล้วตาย วิ่งแล้วอันตรายจริงเหรอ

 

โดยคุณหมอ-=Jfk=-

 

 

เรื่องนักวิ่งแล้วตาย วิ่งแล้วอันตรายจริงเหรอ แล้ว ควรจะเลิกวิ่ง ดีมั้ย

นี่มีข่าวนักวิ่งตายกันทีนึง ก็ถูกยกมาถามกันทีนึง จนลุงกฤตย์อดไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาอธิบาย ยาวยืด ในหน้าแรก ของเว็บนั่นแหละ

ในส่วนตัว ที่เป็นทั้งหมอ และนักวิ่ง และคลุกคลี อยู่กับวงการวิ่งมาตั้งแต่สมัยเรียน รวมแล้ว ก็สามสิบกว่า

อยากจะอธิบาย และ ตอบเรื่องนี้ เป็นจุดๆ ให้ฟังดังนี้ครับ

ถามว่าวิ่งแล้วทำให้ตายได้จริงเหรอ

จริงๆ แน่นอน ก็เหันกันอยู่แล้ว ว่าตายกันบ่อยๆในสนามวิ่ง อย่างล่าสุด ก็เพื่อนเราที่เชียงใหม่ นี่ไง แต่ ต่อให้ไม่วิ่งทุกคนก็ตายอยู่ดี

ประเด็นจึงมาอยู่ที่ว่า แล้วพวกที่มันมาแข่งวิ่ง นี่เพิ่มโอกาส ตายเพราะว่าเหนื่อยหัวใจวายให้กับตัวเอง เพิ่มขึ้นมากมั้ย อืมมมมมมมม อันนี้ แหละค่อยน่าคิด

ผมอยากจะบอกว่า ถ้าศึกษากันอย่างจริงๆจังแล้วพบว่า คนที่แข็งแรงเท่ากัน ออกกำลังกายเหมือนๆกัน กินอยู่คล้ายๆกัน ไอ้คนที่ชอบมาแข่งวิ่ง โดยเฉพาะวิ่งแบบจริงๆ ระดับแนวหน้าแนวกลาง โอกาสตายจากหัวใจวาย มากกว่า คนทั่วไป จริง แต่ที่เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ เพราะว่า พวกนักวิ่งวิ่งแล้วสุขภาพแย่ลง หรือ หัวใจแข็งแรงน้อยลง

ตรงกันข้าม นักวิ่งที่วิ่งซ้อม หรือแข่ง จะมีหัวใจที่ดีขึ้น แต่ว่าการวิ่งแบบหนักๆ แบบการแข่งขันนั้น มันเป็นการทรมานหัวใจให้ทำงานหนักเกินพิกัด จนทนไม่ได้ถึงได้น้อคไป

ถ้าคนพวกนี้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้มาวิ่งแข่งเอาเป็นเอาตายแบบนี้ พวกนี้ ก็จะมาเสี่ยงหัวใจวายน้อยลง

อุปมาเหมือนคนทั่วไป ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 140 บนถนนด้วยฝีมือของตัวเอง นั้น ก็มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายระดับนึง

แต่ถ้าไปฝึกฝนจนฝีมือเข้าเซียนระดับนักแข่ง ถ้ากลับมาขับ บังคับรถบนถนนด้วยความเร็วระดับ 140 พวกนี้หมูเลย อุบัติเหตุ จะน้อยลง

แต่ถ้าฝีมือดีขึ้นมาก แต่ดันไปแข่งรถ ด้วยอัดกันในสนามความเร็ว สองสามร้อย บ่อยๆ ทุกอาทิตย์ นี่แน่นอน แม้จะเก่งขึ้นฝีมือดีขึ้น แต่การที่ไปซิ่งอย่างนั้นมันก็ทำให้ ตายจาก การขับรถได้มากขึ้นแน่นอน

การวิ่งก็เช่นเดียวกัน

การฝึกซ้อมวิ่งออกกำลังกายประจำช่วยให้ร่างกายและหัวใจแข็งแรงขึ้น ทนต่อ การทำงานหรืออออกกำลังกายได้ดีขึ้น เรียกว่า แข็งแรงขึ้นนั่นแหละ

แต่ถ้าแข็งแรงขึ้นมาแล้ว แต่ลงแข่งขันบ่อยๆ จนเกินกว่าขีดความแข็งแรงของตัวเอง ที่อุตส่าห์เพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะแบบเอาเป็นเอาตายหวังผลชัยชนะ วิ่งกัน HR ทะลุเกิน 100% MaxHR บ่อยๆ อันนั้น ก็ย่อมเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายได้ง่ายกว่า คนธรรมดา และยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้ฝึกซ้อมสม่ำเสมอ หรือเตรียมตัวให้ดี พอ ยิ่งอันตรายเพิ่มไปเป็นเงาตามตัว

อย่างผมเองเป็นตัวอย่าง ซ้อมไม่มากนัก แต่ก็แข็งแรงกว่าเพื่อนๆทั่วไป ที่ไม่ได้วิ่ง ถ้าวันไหนแข่งวิ่ง อย่างสบายๆ วิ่งสนุก อันนั้นแฮปปี้ แต่ถ้าดันตะบี้ตะบันอัดกับเค้า บางทีถึงเส้น จะเป็นลม จะวูบเอาง่ายๆ

ดังนั้น สรุป ก็คือ

การวิ่งและออกกำลังกาย ช่วยให้หัวใจ และร่างกายเราแข็งแรงขึ้น อยากเห็นคนวิ่งออกกำลังกายกายมากๆ เสี่ยงต่อการตายจากโรคหัวใจน้อยลง

แต่ ถ้า หัวใจแข็งแรงขึ้น แต่ดัน ไปหักโหม แข่งมากๆ แข่งแบบเอาเป็นเอาตาย เพื่อหวังผล มากกว่าสุขภาพ คุณต้องยอมรับเลย ว่านั่นคุณกำลังใช้งานหัวใจคุณเกินพิกัด ปกติ และเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายมากขึ้น ถ้ากิเลสในการเอาชนะของคุณมากกว่า ความกลัวตาย ก็เชิญ แต่ยังไง ก็ควรจะซ้อมให้เพียงพอ วางแผนให้ดี ประเมินตัวเองให้มากๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่าลืมตัว

แต่ถ้าไม่อยากตายไว เอาแค่วิ่งเพื่อสุขภาพก็พอ

 

18 มิ.ย. 2550 18:43