การบริจาคโลหิตในนักวิ่ง

 

 

โดย   กฤตย์   ทองคง

g-running@thaimail.com

 

               การบริจาคโลหิต  เป็นสิ่งที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย  ยิ่งกับนักวิ่งที่เป็นกลุ่มผู้นิยมดูแลสุขภาพ  ยิ่งเป็นความน่าชื่นชมที่เอาความสมบูรณ์ของสุขภาพตัวเองไปเผื่อแผ่ผู้ที่ด้อยสุขภาพกว่า 

               แต่มีอะไรอยู่นิดหนึ่ง  ที่ทำให้นักวิ่งคลางแคลงใจ ก็คือ  การสูญเสียเลือดไปจากภาวะปกติจำนวนหนึ่ง  จะมีผลอย่างไรหรือไม่ต่อการฝึกซ้อมและแข่งขัน  ซึ่งพวกเราอาจจะอยากทราบต่อไปก็คือ  ถ้ามีผลเช่นนั้น  การฝึกและการแข่งขันหลังจากบริจาคโลหิต  ควรมีข้อพึงปฏิบัติอย่างไรบ้าง 

ข้อนี้ตอบด้วยสามัญสำนึกได้ไม่ยากว่า  มีผลแน่นอนครับ  เลือดจำนวนนั้นต้องอาศัยระยะเวลาฟื้นตัวในสภาวะปกติ  ร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขึ้นมาทดแทนจนมีระดับเท่าเทียมของเดิมราว 2-3 เดือนทีเดียว 

การสูญเสียเลือดไป  ย่อมจะมีผลต่อประสิทธิภาพกระบวนการนำออกซิเจนไปใช้ขณะออกแรง  หรือ ที่เรารู้จักกันในนาม  Max Vo2  ที่ย่อมต้องลดระดับลงบ้าง  นั่นคือจะมีผลต่อการซ้อมหรือแข่งที่จะเหนื่อยเท่าเดิม แต่จะได้ความเร็วหรือระยะทางที่น้อยลง 

               จากการศึกษาอย่างจริงจังกับ Subjects ที่เป็นนักจักรยานและนักวิ่งในภาวะที่สูญเสียเลือดไปนี้ พบว่า  ประสิทธิภาพดังกล่าวจะลดลงถึง 5%-10% ทีเดียว  อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ 

               เริ่มตั้งแต่บริจาคโลหิตไป  ร่างกายก็จะเริ่มกระบวนการสร้างเม็ดโลหิตแดงอย่างเข้มแข็ง  และหนทางที่เราจะทราบว่า  กระบวนการสร้างเม็ดโลหิตไปถึงไหนแล้ว  ก็ด้วยการทดสอบตรวจหาระดับสาร  Hematocrit  และ  Hemoglobin  ซึ่งโดยปกติ  หน่วยงานที่ดูดเลือดคุณไปย่อมจะเช็คหาระดับสารสองตัวนี้ก่อนที่คุณจะบริจาคอีกครั้งอยู่แล้ว  ซึ่งดัชนีที่เป็นคุณต่อร่างกายนักวิ่งก็คือ  ระดับของสาร  Hematocrit  และ  Hemoglobin  ที่สูง  ก็จะเท่ากับเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการนำออกซิเจนของร่างกาย และ จะไปมีผลต่อการซ้อมและแข่งขันอีกที 

               ถ้าคุณเป็นนักวิ่งที่ไม่ได้เป็นระดับแข่งขันก็ไม่เป็นไร  ให้กินอยู่ไปตามปกติ  เดี๋ยวร่างกายก็กลับมาดีเอง  แต่สำหรับในรายนักวิ่งที่บริจาคบ่อย หรือเป็นนักวิ่งแข่ง  มีข้อแนะนำที่ช่วยให้คุณไม่ต้องเจอแรงเสียดทานมากนักด้วยการ ดื่มน้ำมากๆ  ตามคำแนะนำสุขบัญญัติ 10 ประการ ที่ได้ยินมาสมัยเด็กๆ คือ วันละ 8 แก้ว  แล้วถ้าจะให้ดีขึ้นก็ให้รับวิตามินรวมเสริม  โดยเน้นที่ธาตุเหล็ก  และ  กินผักเขียวมากๆ รวมไปทั้ง ถั่ว และผลไม้ทั้งสดและแห้งอย่างขาดไม่ได้  และแม้คุณจะใจบุญรักที่จะบริจาคโลหิตมากขนาดไหนก็ไม่ควรบริจาคมากกว่าปีละ 4 ครั้ง  และ  แต่ละครั้งที่บริจาค  ควรจะเป็นช่วงระยะเวลานอกฤดูกาลแข่งขัน  ไม่ใช่ไปบริจาคต้นเดือนมกราคม ก่อนไปจอมบึง  อย่างนี้ร่วงไม่รู้ด้วยนะ.

 

22:40  น.

16  มีนาคม  2548

 

ข้อมูลจาก Warren  Scott   M.D.

Director of Sports medicine at Kaiser

Permanente in Santa Clara , Calif.

Competitive runner since  1969

  and member of  R.W.’s Science Advisory Board.

 

คลิก

การเตรียมตัวก่อน-หลังบริจาคโลหิต

 

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.50