<% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_ole_experience.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %> ชีวิตผกผันมาเป็นครูสอนเต้นแอโรบิก

 

                       

          สวัสดีครับ ผมชื่อ " โอเล่ย์ "

           ชีวิตในวัยเด็กของผมไม่ได้สุขสบายเท่าไรนัก  หรือจะพูดว่าลำบากก็ว่าได้  ผมเกิดมาในครอบครัวชาวไร่ชาวนา  มีพี่น้องคลานตามกันมา 4 คน  ผมเป็นลูกคนที่ 2 ตอนเป็นเด็กก่อนที่จะถึงเกณฑ์เข้าเรียนหนังสือ  ผมก็ต้องช่วยพ่อช่วยแม่ทำมาหากิน  ตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่จุดคบไฟเดินตามแม่ไปขายผัก ที่ตลาด  กลับมาก็ต้องมาช่วยเลี้ยงน้องตอนที่แม่ออกไปทำไร่ 

          พอพี่ชายและผมอายุได้เกณฑ์ที่ต้องเข้าโรงเรียน ครอบครัวผมก็ย้ายเข้ามาอยู่กับตาและยายที่ตัวอำเภอ  ถึงกระนั้นผมก็ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานไปด้วยเพื่อแบ่งเบาภาระท่าน  พอถึงช่วงวัยรุ่นผมก็ไม่ได้มีชีวิตที่สนุกสนานเหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไป   ช่วงวัยรุ่นของผมก็ช่วงวัยที่ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อที่จะได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง  พร้อมกับช่วยทางบ้านส่งน้องๆ เรียนหนังสือ

          ผมเริ่มทำงานครั้งแรกกับบริษัทตกแต่งภายในแห่งหนึ่ง  ผมทำงานติด wall paper  ชีวิตช่วงนี้ก็สนุกสนาน กับการทำงานเพราะมีอะไรหลายๆ อย่างๆ และหลากหลายให้ได้เรียนรู้  ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน   ลูกค้าที่เราไปติดวอลล์ให้เค้า  และที่สำคัญที่สุด คือ เงิน เงิน เงิน และก็เงิน  ช่วงนี้ผมหาเงินได้ค่อนข้างมากและเป็นกอบเป็นกำ  เรียกว่าเกือบสร้างฐานะได้เลย  แต่แล้วความฝันของผม ก็เกือบดับวูบไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจยุคฟองสบู่แตก  งานติดวอลล์ของผมเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ จนเกือบถึงไม่มีเลย  เงินทองก็เริ่มร่อยหรอ ลงเรื่อยๆ

          ถึงเวลานี้ผมเริ่มมานั่งคิดแล้วว่าผมจะทำอะไรต่อไปดี  หรือจะนั่งอดตายอยู่อย่างนี้  ชีวิตช่วงนี้มันดูมืดมนและสบสนไปหมด  ยิ่งว่างงานมากก็ยิ่งฟุ้งซ่าน  ก็เลยตัดสินใจเอาเงินเก็บที่มีอยู่ไปสมัครเรียนถ่ายรูป          ที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง คอร์สหนึ่งไม่แพงมากเหมาะที่คนเป็นโรคทรัพย์จางอย่างผมจะเรียนได้  ว่าไปแล้วผมก็คิดไม่ผิด  พอเรียนจบผมก็เริ่มมีงานถ่ายรูปเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบวช  งานแต่ง  หรืองานอื่นๆ ผมรับหมด  โดยเฉพาะช่วงเทศกาลแห่งความสำเร็จ (รับปริญญา) ผมจะมีงานเยอะเป็นพิเศษ   เป็นที่รู้กันนะครับว่างานแบบนี้มันไม่ได้มีให้ทำทุกกันทุกวัน  เพราะฉะนั้นช่วงนี้ผมค่อนข้างมีเวลาว่างมากกกก

         ช่วงที่ไม่มีงานตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ไม่รู้จะทำอะไร  นอนบิดไปบิดมาจนเบื่อ  ก็เลยลองโทรไปชวนเพื่อนซี้ผมให้ไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะแถวๆ บ้านแหละครับ (พูดตรงๆ หาเรื่องออกจากบ้าน ) เพื่อนมันก็ตามใจผม  เช้าวันรุ่งขึ้นก็นักเจอกันที่สวน  เกือบลืมแนะนำเพื่อนซี้ของผมคนนี้ชื่อ X-ray  (มันบอก) แต่ผมว่ามันดูเป็นฝรั่งไปไม่เข้าหน้าอันแสนจะไทยแท้ของมัน  ผมก็เลยตั้งชื่อให้ใหม่ที่เรียกสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความและเห็นภาพพจน์ว่า " ไอ้เถิก " อยากรู้ว่าเถิกแบบไหนพบได้ที่สวนพฤกษ์ครับ  ออกนอกเรื่องไปนาน...

         เช้าวันรุ่งขั้นก็นัดเจอกันที่สวนฯ  การออกกำลังกายแบบ basic ที่สุด  ง่ายที่สุด  ถูกที่สุด  และเหมาะกับคนเป็นโรคทรัพย์จางอย่างผมมากที่สุด  ก็คือการวิ่ง  จากวันนั้นผมกับไอ้เถิกก็ออกมาวิ่งด้วยกันเกือบทุกเช้า  เป็นอย่างนี้มาประมาณเดือนกว่าๆ ผมก็เริ่มมีโรคแทรกซ้อน  หมอบอกว่าเป็นโรคเบื่อหน่าย  ก็เลยคิดที่จะหากีฬาอย่างอื่นเล่น  ผมก็เลยชวนไอ้เถิกตีแบดฯ (เงินก็ไม่ค่อยมีแต่อยากเล่น) ถามมัน ว่ามีไม้แบดฯมั้ย ?  มันก็ไม่ตอบ  แต่มันกลับพูดว่าถ้าคิดจะตีแบดเราไปเต้นแอโรบิกกันดีกว่า  ตอนนั้นผมก็ได้แต่ยิ้มๆ  จะให้พูดว่ายังไงล่ะครับเกิดมาก็ไม่เคยเต้น  หรือร้องรำทำเพลงต่อหน้าสาธารณะชนเลยแม่แต่ครั้งเดียว  เหมือนมันอ่านใจผมออก  มันเลยขู่แกมบังคับผมว่า  " ถ้ามึงไม่มาเต้นกับกูพรุ่งนี้  กูก็จะไม่มาวิ่งเป็นเพื่อนมึงอีก "  จบคำขู่ของมันเครียดเลยครับ  กลับบ้านไปคืนนั้นนอนไม่หลับ คิดอยู่แต่ว่าพรุ่งนี้จะทำยังไง เต้นผิดก็ต้องอายคนอื่นเค้า  โอ๊ย! คิดไปสารพัด

            เช้าขึ้นก็ไปสวนพฤกษ์ตามปกติ กลั้นใจไปเต้นแอโรบิกกับมัน  เต้นได้บ้างไม่ได้บ้าง  มันหัวเราะผมบ้าง  มหัวเราะมันบ้าง  คิดๆไปมันก็สนุกดีและไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลย  แถมได้ฟังเพลงที่มีจังหวะสนุกๆ ในตอนเช้าอีกต่างหาก  พอคิดได้อย่างนี้มันก็เริ่มสนุกแล้วก็ติดใจ  ช่วงนั้นหลังจากวิ่งเสร็จก็มาเต้นแอโรบิกกันต่อเป็นอย่างนี้อยู่นานพอสมควร    และแล้วก็มีเหตุการณ์ที่พวกผมไม่คาดฝันเกิดขึ้น  ผู้จัดของวงแอโรบิกที่ผมไปเต้นอยู้เค้ามีเรื่องขัดแย้งกัน  พูดง่ายๆ คล้ายๆ กับดังแล้วแยกวงแหละครับ  วงใหม่ที่แยกออกไปก็มีแต่พวกสาวน้อย  เครื่องเสียงที่ใช้ก็เป็นวิทยุเทปหูหิ้ว  คาดว่ากำลังขับไม่น่าจะเกิน  100 วัตต์  เป็นที่รู้กันอยู่นะครับว่า  เคล็ดลับของการเต้นแอโรบิกมันก็อยู้ตรงที่ว่า   ถ้าเสียงเพลงไม่ดัง  มันก็เต้นไม่มัน   

          พวกป้าๆหรือสาวน้อยของผม  ก็พยายามที่จะปรับปรุงคุณภาพของเสียงเพลงให้มันกระหึ่มขึ้น  พวกแกก็ไปซื้อชุดเครื่องเสียงมาใหม่  ไม่ว่าจะเป็นลำโพง  คราวนี้สมใจพวกป้าๆ แกแหละครับ   เสียงเพลงดังกระหึ่ม พร้อมกับมีเสียงระเบิดตูมตามของลำโพงบ้างในบางวัน  เพราะอะไรนะหรือครับ ก็วกป้าๆ แกไม่รู้วิธีการต่อเครื่องไงครับ  เฮ้อ ! น่าสงสารจัง  คราวนี้แกก็คงมองหาใครสักคนที่พอจะช่วยแกได  และแล้วมันก็เป็นผมกับไอ้เถิก  ที่ดูว่าน่าจะเข้าท่ามากที่สุด  เพราะอะไรรู้มั้ยครับ  ถ้าท่านผู้อ่านเคยเห็นหรือเคยเต้นแอโรบิก  ก็จะทราบว่าคนส่วนใหญ่ที่มาเต้นจะเป็นผู้หญิงประมาณ 90 % เพราะฉะนั้นผม สอง คน จึงเข้าตากรรมการไป  

        จากคนเต้นเริ่มเลื่อนขั้นมาเป็น คนทำเครื่องเสียง  และผมกับไอ้เถิก ก็เป็นโรคประเภทที่ว่าทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด  เพราะเหตุนี้ผมกับไอ้เถิกจึงเป็นที่รักและได้รับความไว้วางใจจากพวกป้าๆ ผมกับไอ้เถิก  ก็ทำหน้าที่ต่อเครื่องเสียงไป  ต่อเครื่องเสียงเสร็จก็เต้นแอโรบิก  เต้นเสร็จแล้วก็เก็บเครื่องเสียง  เป็นอย่างนี้อยู่ทุกๆ วัน  

       พอถึงวันหนึ่งดวงคนมันจะเกิด  มันก็ฉุดไม่อยู่หรอกนะครับ  ครูสอนเต้นแอโรบิกที่วงดันป่วยกระทันหัน  มาสอนเต้นไม่ได้  สมาชิกเค้าก็ยืนรอเต้นกันอยู่เต็มลาน  ป้าๆ แกก็ไม่รู้จะทำยังไง  จะประกาศงดก็ไม่กล้า  เพราะสมาชิกบางคนเค้าก็ขับรถมาจากหมู่บ้านอื่น เพื่อมาเต้นที่นี่โดยเฉพาะ   ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า  วันนั้นอะไรมาดลใจป้าๆ  หันมาถาม ผมว่า  " ไหวมั้ยลูก "  ไอ้ผมจะตอบว่าไม่ไหว  ก็เกรงใจป้าๆ แก  เพราะปกติครูสอนเต้นของวงนี้จะเป็นพวกครูหนุ่มๆ สาวๆ  เอ๊ะ! หรือจะให้ป้าๆ ขึ้นไปเต้นนำเอง  เพราะป้าบางคนก็เคนเป็นครูสอนเต้นสมัยอยู่วงเก่า  ผมคิดไปคิดมา  ว่าถ้าจะให้ป้าๆ ขึ้นไปนำเต้นบนเวที  ผมก็คงต้องขึ้นไปบนเวทีเหมือนกัน  ก็ไปอุ้มป้าแกลงจากเวทีสิครับ  คิดได้อย่างนี้ ผมขึ้นเองซะตั้งแต่แรกดีกว่า

     "งานนี้ตายคนเดียวไม่ได้ "  ผมคิดอยู่ในใจ 

  หันไปบอกไอ้เถิกว่า  " ถ้ากูขึ้น มึงก็ต้องขึ้นไปกับกู "  

ตอนแรกมันก็ไม่ยอม   ต้องทั้งปลอบทั้งขู่จนมันต้องยอมในที่สุด  ว่าแล้วการขึ้นเวทีครั้งแรกของผมกับไอ้เถิก ก็เริ่มขึ้น

          ผมค่อยๆ กลั้นใจเดินขึ้นเวที ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม  ด้วยมาดที่มีความมั่นใจสุดฤทธิ์  ไม่มีสั่น  ค่อยๆเดินจนถึงกลางเวที  แล้วค่อยๆ ยืนแยกขาออก  พร้อมย่อขึ้น-ลง  มันเป็นท่า warm  up ท่าแรกที่ผมนึกได้ตอนนี้

ผมรู้สึกว่าเหมือนมีใครจับที่ขาผมแล้วเขย่าๆ พอก้มมองลงไปก็ไม่เห็นมีใคร  สงสัยผีหลอกตอนเช้ากระมัง  อยากรู้เหมือนกันว่า  ไอ้เถิก เพื่อนผมมันเป็นยังไงบ้าง  ผมเลยเหลียวกลับไปดูมัน   ขามันสั่นเสียยิ่งกว่าขาผมอีกครับท่านผู้ชม  คิดแล้วยังขำไม่หายเลย   และแล้วผมก็เริ่มปลอบใจตัวเอง  เพราะจะไปหวังพึ่งไอ้เถิกคงไม่ได้แล้ว  คิดอย่างเดียว  " ต้องรอด  ต้องรอด "
 ว่าแล้วคิดท่าอะไรได้ก็เต้นๆ มันออกไป  เต้นไปได้ประมาณ 20 นาที  ท่าเริ่มหมด หันไปถามได้เถิกว่า " จะเต้นท่าไหนต่อดี  มันก็บอกว่าไม่รู้  คราวนี้สิ เริ่มทั้งซีด ทั้งสั่น  ถามตัวเองตลอดว่า ทำยังไงดี.....        ในที่สุดก็มาจบลงด้วยท่าย่ำเท้า เพื่อ cool down  แล้วก็ลงจากเวทีด้วยอาการขาสั่น 
         จากวันนั้น  มันก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ผมก็ต้องขายผ้าเอาหน้ารอดอยู่เรื่อยๆ  เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ ก็ไม่ไหว  ผมก็เริ่มลำจำจากครูที่สอนเต้น วันละท่า สองท่า  แล้วก็เริ่มหาแนวคิดในการสอนเป็นของตัวเอง   เริ่มฝึกฝนตัวเอง  โดยหลังจากที่ครูสอนเต้นประจำเขาสอนเสร็จแล้ว  ผมก็จะขอป้าๆ ขึ้นซ้อมบนเวที  เพื่อที่จะได้ไม่ประหม่าเวลาที่ต้องขึ้นสอนจริง 
        ต่อมาก็มีคนเริ่มเข้ามาเต้นกับผม ขณะที่ผมกำลังซ้อมอยู่ ทีละคน สองคน  จนในที่สุดคล้ายกับว่ารอบที่ผมซ้อมอยู่เป็นรอบที่สอง ของวงไป  พอผมวิชาแก่กล้าขึ้น  ผมก็เริ่มชวนน้องที่ผมรู้จักมาซ้อมเต้นด้วยกัน  จนน้องมันเก่งขนาดออกไปรับงานข้างนอกได้  ส่วนผมคนมักน้อยก็ยังอยู่ที่เดิม  ไม่มีก้าวหน้าขึ้น  จนวันหนึ่งไอ้น้องคนนี้มันก็พูดกับผมว่า 
" พี่เล่ย์ทำไม โง่จัง ไม่ออกไปหางานข้างนอกทำบ้าง "  ว่าแล้วเหมือนฟ้าเป็นใจ  มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนผมคนที่เป็นครูสอนเต้นแอโรบิก เค้าเกิดไม่สบาย ไปสอนที่ Fitness  ที่เค้าสอนประจำไม่ได้   โทรหาให้ใครแทนก็ไม่มีใครว่าง  โอกาสนี้มันจึงมาตกที่ผม  วันนั้นที่ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อน จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะเพื่อนมันหาใครไม่ได้จริงๆ  ด้วยความสงสารเพื่อนจึงรับปากมันไป  ผมรู้สึกตื่นเต้นมากจนสั่น  แต่ก็เป็นสั่นสู้นะครับ  เย็นนั้นผมได้มีโอกาสเข้าไปสอนใน Fitness เป็นครั้งแรกในชีวิต มันเป็นประสบการณ์ที่ผมลืมไม่ได้เช่นกัน  เพราะพอผมสอนเสร็จ  ผมก็ได้รับแต่คำอวยพรมากมาย (ด่า)  ไม่ว่าจะเป็น เต้นไป ไม่นับ ไม่พูด  จะเปลี่ยนท่าก็ไม่บอก  แล้วก็อะไรๆ อีกเยอะแยะ  หมดกำลังใจอยู่เหมือนกัน  ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า  นี่เป็นเพียงครั้งแรก ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว  แต่คำสวดสรรเสริญที่ได้รับมาก็กลับเป็นแรงผลักดัน ให้ผมมีกำลังใจในการที่จะฝึกฝน  เพื่อที่จะเอาชนะคำพูดของคนเหล่านั้นให้ได้

           หนึ่งปีกว่าๆผ่านไปนับจากวันที่ผมขึ้นเวทีครั้งแรกกับไอ้เถิก มาถึงวันนี้ ผมพอใจกับชีวิตในตอนนี้ เพราะผมเป็นที่ยอมรับของผู้ที่มาเต้นแอโรบิก และพวกป้าๆ ทั้งหลายก็ให้การสนับสนุนรักใคร่เอ็นดูผมเหมือนลูกหลาน  งานการเกี่ยวกับด้านแอโรบิกก็เข้ามาตลอด ปัจจุบันผมเป็นคนเต้นนำ อยู่ที่สวนพฤษชาติ หลังการเคหะแห่งชาติ แถวๆ คลองจั่น ตลอดจนไป เต้นนำตามหมู่บ้าน และสถานที่ออกกำลังกายต่างๆ อีกหลายที่   ผมมีรายได้ต่อเดือน  นับว่าดีทีเดียว สำหรับเด็กต่างจังหวัดอย่างผม  เงินที่ผมได้รับมาจากน้ำพักน้ำแรงและความตั้งใจจริงในการฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่เสมอ  เงินก้อนนี้ผมสามารถที่จะส่งไปให้พ่อแม่ และน้องได้เรียนหนังสือ มันเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจ ผมมีแนวคิดว่า
 " ไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถของเราหรอกครับ ถ้าเรามีความตั้งใจที่จะทำ และมุ่งมั่นที่จะทำให้มันสำเร็จ "

 

โอเล่ย์

         

       

 

        ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.44<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>