การลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ

 

ภาวะอ้วน (Obesity) คือภาวะที่มีไขมันสะสมในร่างกายมากกว่าปกติ ไขมันดังกล่าวได้แก่


1 เนื้อเยื่อไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังซึ่งกระจายทั่วร่างกาย
2 เนื้อเยื่อไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)

ในทางการแพทย์ โรคอ้วนจะถูกกำหนดโดยใช้ Body Mass Index ( BMI) หรือดัชนีมวลกาย โดยคำนวนจาก น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วย ส่วนสูงเป็นเมตร ยกกำลังสอง
หรือ BMI = Weight (kg) / tall (M.)กำลังสอง
เช่นคน สูง 170 หนัก 65 กก.BMI = 65/(1.7X1.7) = 22.491

โดยองค์การอนามัยโลกกำหนดให้ คนที่ มีBMI สูงกว่า 25 ถือว่าน้ำหนักเกิน
และ ถ้ามากกว่า 30 ถือว่าอ้วนแล้ว ซึ่งเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน หลายชนิด เช่น ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน เก๊าต์ นิ่วในถุงน้ำดี และมะเร็งบางชนิด จึงควรที่จะควบคุมน้ำหนัก ด้วย
ตาราง แบ่งประเภทความอ้วนตาม BMI ของ WHO
Classification........................BMI..................Risk of Co-Morbidity
Normal..........................18.5-24.9.......................Average
Overweight.........................>/ 25
Pre-obese........................25.0-29.9...................Increased
Obese I............................30.0-34.9...................Moderate
Obese II...........................35.0-39.9.....................Severe
Obese III.............................>/40.......................Very severe
หมายเหตุ >/ = มากกว่า หรือเท่ากับ
แต่ตารางดังกล่าว ของ WHO เหมาะกับ คนทางยุโรปซี่งรูปร่างใหญ่ แต่คนทางเอเชียรูปร่างเล็ก จึงได้มีการประเมิน และปรับปรุง ตารางดังกล่าว สำหรับคนเอเชียใหม่ดังนี้

ตาราง แบ่งประเภทความอ้วนตาม BMI ปรับปรุงสำหรับคนเอเชีย
Classification......................…….BMI.........Risk of Co-Morbidity(อัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค)
Normal.(ปกติ)........................……..18.5-22.9......................Average(เฉลี่ยตามปกติ)
Overweight(น้ำหนักเริ่มเกิน).................>/ 23
Pre-obese(เริ่มอ้วน).................….......23.0-24.9....................Increased(เพิ่มขึ่น)
Obese I(อ้วนขั้นที่1)............................25.0-29.9....................Moderate(เพิ่มขึ้นปานกลาง)
Obese II(อ้วนขั้นที่2)...............................>/30.............................Severe(เพิ่มขึ้นมาก)

สาเหตุ ของความอ้วน มีได้หลายประการ เช่น
พันธุกรรม
สภาพสังคมและวัฒนธรรมซึ่งเกี่ยวข้อง กับการบริโภค
ภาวะผิดปกติในร่างกาย หรือโรคบางชนิด เช่น Hypothyroidism,Cushing Syndrome
ผลจากการใช้ยาบางประเภท ก็มีผลข้างเคียงให้อ้วนได้ เช่น ยาต้านการซึมเศร้า บางตัวเช่น Amitryotyline หรือยา ต้านรักษาโรคจิตบางตัว เช่น (Chlorpromazine ,Lithium) หรือพวก Corticosteroids (สเตียรอยด์) และ Cyproheptadine เป็นต้น

หลักการลดความอ้วน
หลักการสำคัญ ในการลดความอ้วน หรือไขมันส่วนเกิน คือการลดพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไป และ เร่งการใช้พลังงานหรือเผาผลาญพลังงานของร่างกายให้เพิ่มขึ้น หรือควบไปด้วยกันทั้งสองอย่างเพื่อ ประสิทธิภาพสูงสุด

A.เพิ่มการใช้พลังงาน


ทำได้โดยการออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยให้ มีการใช้พลังงาน(แคลลอรี่)เพิ่มขึ้น และหมดไป ทำให้ เนื้อเยื่อไขมันที่สะสมอยู่ตามที่ต่างๆถูกดึงออกมาใช้ และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมาแทน ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้มวลของกล้ามเนื้อ เพิ่มขึ้นมาแทน แต่กล้ามเนื้อมีความหนาแน่นมากกว่าไขมัน ดังนั้น แม้น้ำหนักตัวจะลดไปไม่มากนัก แต่รูปร่างจะกระชับดีขึ้น
หลักการ การออกกำลังกาย ที่ให้ผลดี ควรจะเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค(ออกกำลังกายโดยกล้ามเนื้อเผลาผลาญแคลลอรี่โดยใช้อ๊อกซิเจน) ที่ง่ายและได้ผลดี คือการวิ่ง หรือเดินเร็ว โดย คนที่สุขภาพปกติ ให้ออกกำลังกายต่อเนื่องประมาณ 20-30 นาที ไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยระหว่างออกกำลังกาย ควรรักษาระดับชีพจรให้อยู่ ในระดับเป้าหมาย คือ 70-80% ของชีพจรสูงสุด
โดยอัตราชีพจรสูงสุด คิดได้ จาก 220 - อายุเป็นปี
สำหรับผู้เริ่มออกกำลังกาย ใหม่อาจจะใช้อัตราที่ต่ำกว่า คือให้หัวใจเต้นระหว่าง 50-60% ของชีพจรสูงสุดก่อนก็ได้ ก่อนที่จะค่อยๆเพิ่มจนถึง ชีพจรเป้าหมาย

การวัดชีพจรแบบง่ายๆ ทำได้โดยการใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง แตะเบาๆ บริเวณข้อมือ ของมืออีกข้าง ทางด้านข้างของข้อมือในแนว ที่ตรงกับร่องระหว่างนิ้วชี้ และนิ้วกลางของมือข้างนั้น แล้วรับรู้จังหวะการเต้นของเส้นเลือด(ชีพจร) ที่ข้อมือนั้น โดยนับจำนวนครั้ง ใน 15 นาที แล้ว คูณด้วย 4 จะได้ เป็นอัตราการเต้นของหัวใจต่อ นาที

วิธี การออกกำลังกาย จะเลือกวิธีไหน ก็ได้ ตามความเหมาะสม และความชอบ ของแต่ละคน ตั้งแต่การเดินเร็ว, จ๊อกกิ้ง ,โดดเชือก ,วิ่งบนลู่วิ่ง ,เต้นแอโรบิค ที่สำคัญคือ ควรทำแบบต่อเนื่อง และไม่หักโหม

B การลดพลังงานที่กินเข้าไป
หรือการควบคุมอาหาร เป็นการลดที่ได้ผลดี ควรลดลงช้าๆ โดยน้ำหนักที่ลดในระยะเริ่มต้นหกเดือนแรก ไม่ควรเกิน 5-10% ของน้ำหนักตัว แล้วรักษาน้ำหนักให้คงที่ระยะหนึ่ง ค่อยลดเพิ่มต่อไป
การที่จะลดน้ำหนัก ตัวลง 1-2 กก.ในหนึ่งเดือน ซึ่งเทียบเท่ากับพลังงานประมาณ 7000-14000 Kcal หรือต้องคุมอาหารที่กินให้น้อยลง ประมาณ 250-500Kcal ต่อวัน


วิธีการ ที่ใช้ คือ


1 หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาล ซึ่งให้แคลลอรี่สูง ให้น้อยลง
2 ปริมาณ แคลลอรี่ที่ควรได้ในแต่ละวัน ผู้ชายประมาณ 1500 Kcal และ ผู้หญิงประมาณ 1000 Kcal
3 ระหว่างควบคุมอาหารควรได้ รับอาหารแบบสมดุลย์ครบทั้งห้าหมู่โดยเฉลี่ยเป็นโปรตีน ประมาณ 25-30% คาร์โบไฮเดรท 40% และ ไขมัน ประมาณ 30% และแร่ธาตุต่างๆ และวิตามิน ตามความต้องการปกติ ของร่างกาย

รวบรวมคำถามตอบที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ปัญหาเรื่องความอ้วน

คนที่ออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนมักจะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากหิวบ่อยและกินมากขึ้น ทำให้อ้วนอีกจริงหรือไม่
การออกกำลังกายทำให้ร่างกายใช้พลังงานหมดไปมากขึ้นดังนั้น หลายคนอาจจะรู้สึกหิวบ่อย และถ้า กินมากไม่จำกัดและควบคุมอาหาร ย่อมไม่ได้ผลอะไรในการควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน อย่างแน่นอน

ยาลดความอ้วนที่มีการใช้กัน มีข้อดีข้อเสียอย่างไร


ยาลดความอ้วนที่ใช้กันมีหลายตัว แต่แบ่งเป็นกลุ่มหลักๆได้คือ
ยาออกฤทธิ์ "กดความอยากอาหาร"
การใช้ยาลดความอ้วนที่ออกฤทธิ์ "กดความอยากอาหาร" ยาในกลุ่มนี้เป็นยาที่มี การดัดแปลงมาจาก"ยาบ้า" วิธีนี้มีผู้นิยมใช้กันมาก ข้อดีของการใช้ยาคือ น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว แต่มีข้อเสียคือ ผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่นง่วงซึมกระสับกระส่าย ใจสั่น กระวนกระวาย อ่อนเพลียจากการขาดอาหาร มีตะคริวขึ้นตามกล้ามเนื้อ หงุดหงิดง่ายโดยเฉพาะผู้มีปัญหาทางด้าน สุขภาพจิต อาจเกิดอาการคุ้มคลั่งได้ง่าย และ ยังมีผลทำให้เกิดโรคหัวใจบางชนิด จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาในกลุ่มนี้ทุกครั้ง
นอกจากนี้การใช้ยาในกลุ่มนี้เนื่องจากร่ายกายไม่ได้รับสารอาหารอย่างพอเพียง จึงมีการสลายตัวของไขมัน และกล้ามเนื้อของร่างกายไปพร้อมกันด้วยทำร่างกายทรุดโทรมเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย และ มีข้อสังเกตุคือยากลุ่มนี้เมื่อใช้ต่อเนื่องไปนานๆ เกินกว่าสองถึงสามเดือน ไปแล้ว จะไม่ค่อยได้ผล หรือมีอาการดื้อยา
และที่สำคัญ อีกประการหนึ่งคือเมื่อหยุดใช้ยาจะไม่มีการกดความรู้สึกหิว ร่างกายจึงจะรู้สึกหิวมากกว่าปกติ ทำให้มีการกินอาหารเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ก่อให้เกิดการอ้วน กลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว(YOYO Effect)

ยาอีกกลุ่มที่มีการนิยมใช้กันคือ ยาขับปัสสาวะ หรือ ยาระบาย


การใช้ยาขับปัสสาวะ หรือ ยาระบาย ตลอดจนสมุนไพร บางชนิดที่ออกฤทธิ์ ในการระบายท้อง เช่น มะขามแขก(คนละตัวกับส้มแขกหรือ Garcinia) ซึ่งพวกนี้อาจจะมาในรูปของยาเม็ด หรือ ชาชงน้ำดื่ม ยาพวกนี้มีผลเพียงแค่ช่วงสั้นๆ เพราะน้ำหนักตัวที่ลดลงเกิดจากน้ำที่สูญเสียออกมากับ ปัสสาวะ และ อุจจาระ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย อาจจะเกิดเป็นตะคริว เหมือนผู้ป่วยท้องเดิน วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้นๆ เช่น นักมวยที่จะรีดน้ำหนักก่อนชั่งน้ำหนักตัว ซึ่งเมื่อเสร็จแล้วจะต้องรีบกินอาหาร น้ำ และเกลือแร่ กลับคืนโดยเร็วให้ร่างกายฟื้นทันขึ้นชกแข่งขัน แต่ไม่แนะนำให้ใช้ กับคนปกติทั่วไป

อาหารเสริมและสมุนไพรต่างๆที่ว่าช่วยลดน้ำหนัก ช่วยได้จริงหรือไม่
ปัจจุบัน นอกจากพวกชาระบายต่างๆที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีอาหารเสริมและสมุนไพรอีกหลายตัวที่ถูกนำมาใช้กัน ได้แก่
อาหารแคลลอรี่ต่ำ
พวกนี้ มีทั้งที่ทำในเมืองไทยและมาจากต่างประเทศ ประกอบด้วยใยอาหารและธัญญพืช ต่างๆกินเพื่อให้อิ่มท้อง แต่ไม่ค่อยมีแคลลอรี่ พวกนี้ คนที่ทานอาจจะประสบปัญหาเรื่องรสชาติ ไม่ถูกปาก และ เนื่องจากแคลลอรี่ต่ำ อาจจะทำให้รู้สึกหิวได้บ่อย หงุดหงิดง่ายเวลาหิว แต่ถ้าคนที่ทนกินได้ ก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้เช่นกัน แต่ทางเลือกที่ดีกว่าคือการทานผักและผลไม้ และธัญญพืช ที่ปรุงเอง ซึ่งอาจจะปรับรสชาติให้ถูกปากได้มาก กว่าและประหยัดกว่า

แป้งบุกหรือ Glucomannan


แป้งบุก(Glucomannan)เป็นแป้งที่ได้มาจากหัวบุก(CONYAKU หรือ konjac )ซึ่งลักษณะคล้ายหัวมันแกว เป็นเส้นใยอาหารขนาดยาว โดยประกอบด้วยโมเลกุลของ กลูโคส และแมนโนส ต่อกันเป็นสายยาวมาก แป้งบุกมีคุณสมบัติในการดูดซึมน้ำเข้าในตัวและพองตัว ขึ้นประมาณ 150-200 เท่าตัวทำให้เมื่อกินเข้าไปแล้วจะไป พองตัวในกระเพาะอาหารทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และอิ่มเร็วขึ้น นอกจากนี้ตัวเส้นใยของมันยังมีผลในการดูดจับไขมันและน้ำตาลที่ย่อยแล้วในกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก และลดความอ้วนด้วย และยังช่วยป้องกันท้องผูกทำให้ลดโอกาสในการเกิด โรคริดสีดวงทวารและมะเร็งลำไส้ ได้อีกด้วย(คนจีนและญี่ปุ่นกินแป้งบุกมาเพื่อช่วยในคุณสมบัตินี้มานานแล้ว)
วิธีการรับประทานแป้งบุกชนิดแคปซูล ใช้กินประมาณ 3-6 แคปซูลต่อมื้อ แล้วแต่ความจุในการกินของแต่ละคน โดยกินก่อนอาหารประมาณ หนึ่งชั่วโมง พร้อมกับน้ำหนึ่งแก้วเพื่อให้ แป้งบุก พองตัวในกระเพาะอาหารให้อิ่มรองท้องไว้ก่อนและรอจับไขมันกับน้ำตาลที่จะกินตามเข้าไปกับอาหารภายหลังโดยที่ตัวมันเองให้พลังงานน้อยมาก(กินพร้อมกับส้มแขกก็ได้) ถ้ามื้อเช้าปกติกินข้าวไม่มาก ก็ไม่ต้องกินแป้งบุก ให้กินเฉพาะมื้อกลางวันและเย็นก็พอ เมื่อกินติดต่อไปนานๆ ความเคยชินในการกินอาหารน้อยๆ จะทำให้เกิดนิสัยกินอาหารลดลงไปเองโดยไม่ต้องกินแป้งบุก อีกต่อไป
สำหรับผู้ที่เคย กินแป้งบุกชนิดซองแต่งรส ก็ใช้ได้ครับ แต่ถ้าดื่มยาก จะลองกินชนิดแคปซูลกับน้ำจะกินง่ายกว่าและประหยัดกว่า หรือถ้าอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศใช้แป้งบุกประมาณ 6 แคปซูลผสมกับน้ำอุ่นประมาณ ค่อนๆแก้ว แล้วตั้งทิ้งไว้ประมาณ สิบห้านาทีคนบ่อยๆ ก็จะได้ข้าวต้มบุก เติมซีอิ๊วให้เค็มเล็กน้อยหรือกินกับ กับข้าวต้มอื่นก็ได้ครับ
แต่ข้อเสียของแป้งบุกก็เช่นเดียวกันกับอาหารแคลลอรี่ต่ำอื่นๆ คือ เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จะทำให้รู้สึกหิวบ่อยและหงุดหงิดได้ง่าย

GARCINIA HCA (สารสกัดจากผลส้มแขก)


ทำมาจากผลส้มแขก ซึ่งในไทย มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร
ปัจจุบัน สารสกัดจากส้มแขก ที่จำหน่ายในไทย มีทั้งผลิตในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ในรูปเม็ดหรือ แคปซูล ขนาด 300 และ 600 มก.ซึ่งจะมี เนื้อ garcinia จำนวนประมาณ 250-500 mg และให้ปริมาณ HCA ประมาณ 60-70% ซึ่งต่างจาก ผลส้มแขกธรรมดาที่บดแห้งบรรจุแคปซูลที่ไม่ได้ผ่านการสกัด ซึ่งจะได้ปริมาณของ HCA เพียง 30% จะเลือกซื้อยี่ห้อไหน ไม่สำคัญ ขอให้ได้รับการรับรอง จาก อย.และมีเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน และเปรียบเทียบขนาดกับราคาให้คุ้มที่สุด
การออกฤทธิ์ของ HCA (สารสกัดจากผลส้มแขก)จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb's cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำ ไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูป ของไกลโคเจน ที่ตับทำให้ร่างกายรับรู้ ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผลทำให้รูปร่างดีขึ้น (แต่น้ำหนักตัวอาจจะไม่ลดลงเร็วมากนัก แต่รูปร่างจะดีขึ้น เอว(พุง) ลดลง ความอึดอัดลดน้อยลง เนื่องจากไขมันมีน้ำหนักเบากว่ากล้ามเนื้อ แต่ถ้าร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อก็จะเกิดการอ่อนแอและโรคแทรกซ้อนได้ง่าย)
ขณะที่ใช้สารสกัดจากส้มแขก สามารถรับประทานอาหารได้ตามสมควร แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันลงบ้าง และเมื่อ ความรู้สึกหิวน้อยลงจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอแล้วจะทำให้ นิสัยการกินอาหารจุๆ จำนวนมากก็จะค่อยๆ ลดลง และไม่กลับมาอ้วนใหม่
วิธีการ รับประทานสารสกัดส้มแขก แนะนำให้กินขนาด 600 mgครั้งละ 2 เม็ด(ถ้า 300 mg ใช้มื้อละ สี่เม็ด) วันละ3 เวลา ก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมงพร้อมกับดื่มน้ำประมานหนึ่งแก้ว ซึ่งจะทำยาให้ดูดซึมได้ดีที่สุด แต่ขณะที่ยาแตกตัวในกระเพาะอาหารบางคนอาจะได้กลิ่นของส้มแขกซึ่งมีกลิ่นหอมคล้ายขนมปังปิ้ง ถ้าไม่ชอบหรือ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ก็แนะนำให้เปลี่ยนมากินหลังอาหารหรือพร้อมกับอาหารได้ แต่การดูดซึมจะลดน้อยกว่าการกินก่อนอาหารเล็กน้อย ในผู้ที่อ้วนมากหรือกินจุมากอาจเพิ่มปริมาณ เป็นวันละ 8-10 เม็ด(600 mg) ต่อวันได้ เมื่อรูปร่างหรือน้ำหนักตัวลดลงจนเป็นที่พอใจก็ค่อยๆลดปริมาณ ของส้มแขก ลงจนกระทั่งไม่ต้องใช้ และหลังจากหยุดใช้จะไม่มีผลในการหิวมากขึ้น หรือ อ้วนขึ้นกลับมา และยังพบว่านิสัยกินจุในบางคนจะลดลงไปด้วย
ปัจจุบัน มีผู้เชื่อกันว่า การ์ซีเนียได้ผลดีในสัตว์ทดลอง แต่สำหรับในคนผลที่ได้ไม่เด่นชัดมากนัก แต่จากประสบการณ์ ของผู้เขียน พบว่าได้ผลดีในคนไข้ ประมาณ 50-60% ที่ใช้เท่านั้น และราคาค่อนข้างแพง ดังนั้นการจะเลือกใช้ควรพิจารณาตามความเหมาะสม

พวกยาและสารอาหารที่ลดการดูดซึมไขมัน


ปัจจุบันมีที่นำมาใช้กัน สองตัวหลักๆ คือ


Enhance Chitosan
เป็น Amino Polysaccharide ที่ได้มาจากการสกัดจากเปลือก กุ้ง ปู เป็นเส้นใยที่มีคุณสมบัติ ในการดูดจับไขมันได้ดี และเมื่อจับกับไขมันแล้ว เนื่องจากโมเลกุลมีขนาดใหญ่ ทำให้ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย แต่จะขับถ่ายทิ้งไป กับอุจาระ เมื่อไขมันที่ได้รับเข้าร่างกายลดลง ก็ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก และ ลดไขมันส่วนเกินได้
วิธีกิน enhance chitosan ใช้ ขนาด 250 มก ครั้งละ 2-4 capsule กินก่อนอาหารเล็กน้อยหรือพร้อมกับอาหาร มื้อ กลางวันหรือเย็น หรือ เฉพาะมื้ออาหารที่มีไขมันมากกกว่าปกติ เพื่อช่วยจับไขมันในอาหารไม่ให้ดูดซึมเข้าร่างกาย(ดูดซึมเข้าไปน้อยลง)
จากประสพการณ์ของผู้เขียนสังเกตุว่า การดูดซึมไขมันของพวก Chitosan นี่ ไม่ได้เห็นผลเด่นชัดมากมายนัก (ไม่เด่นชัดเท่ากับ ตัวยาบล้อคเอ็นไซม์ที่ย่อยไขมัน เช่น Orlistat(Xenical)

Xenical หรือตัวยา Orlistat ของ บริษัท Roach
เป็นตัวยาที่ดักจับกับเอ็นไซม์ lipase ซึ่งมีหน้าที่ช่วยในการย่อยไขมัน นำไปใช้ ดังนั้นคนที่กิน ยานี้จะทำให้ไขมันในอาหารที่กินเข้าไปไม่ถูกย่อยและนำไปใช้ หรือ ดูดซึมได้น้อยลง ส่วนใหญ่จึงขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ เห็นเป็นหยดไขมันปนมากับอุจาระ
เป็นยาที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคอ้วน โดยออกฤทธิ ยับยั้งการดูดซึมไขมันอย่างที่ว่า แต่จะไม่มีผลกับอาหารพวกโปรตีนและคาร์โบไฮเดรท


วิธีการใช้  กินครั้งละหนึ่งเม็ด เวลากินอาหารมื้อที่มีไขมันมากๆ เพื่อลดการดูดซึมไขมันในอาหารมื้อนั้นลง แต่ถ้าไม่ได้กินไขมันในมื้อนั้นมากก็ไม่จำเป็นต้องกินเพราะว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร
เวลาใช้ยานี้ ตอนถ่าย จะเห็นไขมัน ถูกถ่ายออกมาพร้อมกับอุจาระเห็นเป็นไขมันลอยในน้ำให้เห็น (กรณีใช้ชักโครก)
ยาตัวนี้ กำลังได้รับการนิยมจากแพทย์และคนไข้ใน USA ที่มีปัญหาเรื่องโรคอ้วน แต่อย่างไรก็ดี ถ้ามีปัญหาอ้วนมากจริงๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
ผลเสียของยา ก็เกิดจากฤทธิ์ของมันเอง ไขมันที่ไม่ถูกย่อยอาจจะทำให้รู้สึกอืดท้อง และมีคลื่นไส้อาเจียนในบางคน และถ้ากินประจำติดต่อกันนานๆ อาจจะทำให้เสี่ยงต่อขาดวิตามินที่ละลายในไขมันเช่น วิตามิน A , E , D , K ได้
ปัญหาใหญ่อีกอันสำหรับคนที่กิน Xenical คือ บางคนอาจจะมีไขมันหยดไหลออกทางก้นเวลาผายลมทำให้เปรอะเลอะเทอะได้ เหมือนที่แซวกันว่า ผายลมออกมาเป็นพริกเผา :)

ข้อสังเกตุ การใช้ Enhance Chitosan และ Xenical ไม่มีผล ต่อ อาหารพวกแป้ง และน้ำตาล ดังนั้นถ้าเราไม่ควบคุมอาหารพวกนั้น จะทำให้น้ำตาลส่วนเกินที่กินเข้าไป ไปเปลี่ยนเป็น ไขมันในร่างกายได้ต่อไป ทำให้อ้วนได้อยู่ดี

โดยคุณ -=jfk=-  เมื่อ 05 ก.พ. 45 14:43:08  (คิดว่าอาจจะสนใจเรื่องคุมน้ำหนักผมก๊อปปี้ บทความเรื่องการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ ซึ่งส่งไปให้เค้าทำเว็บวิชาการมาให้อ่านดูด้วยครับเผื่อจะเป็นประโยชน์)