แรงจูงใจ

linesbar.gif (1687 bytes)

           การที่นักวิ่งแต่ละคนที่ลุกขึ้นวิ่งนายยิ้มเชื่อว่าต่างก็มีแรงจูงใจอย่างน้อยก็ 1 ข้อ และไม่ว่าวิ่งจะเพื่อลดหุ่น วิ่งเพื่อจีบสาว PrettyGirl.gif (9305 bytes)  (กรณีสาวเจ้าเป็นนักวิ่ง) วิ่งเพราะโดนบังคับ (หมอสั่ง) สำหรับนายยิ้ม ตอนตัดสินใจเริ่มวิ่ง มีแรงจูงใจใหญ่ๆ อยู่ 2 ข้อ คือ

            1.   รายการวิ่งลอยฟ้าเฉลิมพระเกียรติ 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณสะพานแขวนพระราม 9   ซึ่งมีนักวิ่งหลายหมื่นคนเข้าร่วม (ชมภาพประวัติศาสตร์) เปล่าหรอกนายยิ้ม ไม่ได้ไปวิ่งกับเค้าหรอก แต่ดูจากการถ่ายทอด TV. เห็นแล้วรู้สึกทึ่ง มีความรู้สึกอยากไปวิ่งกับคนเหล่านั้นจัง

            2.   แรงกระตุ้นอีกอย่างคือ หนังสือวิ่ง ที่ชื่อ วิ่ง….สู่วิถีชีวิตใหม่ ซึ่งเขียนโดย น.พ อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม นายยิ้ม อ่านแค่คำนำของผู้เขียนที่ร้านหนังสือ ก็ตัดสินใจซื้อ และอ่านจนจบและก็ตัดสินใจ ที่จะวิ่งในทันที

เพื่อนๆ คนไหนที่มีแรงจูงใจแปลกๆ พิสดาร ก็บอกกันมั่ง ส่ง มาได้ที่ thairunning@hotmail.com   เผื่อว่าแรงจูงใจ หรือข้อเขียน ของท่านอาจจะเป็นแรงกระตุ้นให้เพื่อนๆ ที่รู้ว่า วิ่ง นั้นดี มีประโยชน์แต่ยังไม่ตัดสินใจหรือขี้เกียจ ได้ลุกขึ้นมาคว้ารองเท้าออกวิ่ง!!


ต่อไปนี้เป็นแรงจูงใจ ของเพื่อนๆ ที่ทำให้มีการวิ่งครั้งแรกเกิดขึ้น

มาเล่าเรื่องการวิ่งแข่งขันครั้งแรกกันเถอะ

ผมเสนอให้พวกเราชาว thairunning.com ทุกท่าน มาเล่าสู่กันฟังในเรื่องการวิ่งของตัวเอง เอาเป็นว่าเล่าการวิ่งแข่งขันครั้งแรก ใครอยากเล่าอย่างไรก็ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็น บรรยากาศ, ความรู้สึก, ความประทับใจ, แรงจูงใจที่ไปวิ่งครั้งนั้น, สนามไหน, เมื่อไร, สถิติครั้งแรกในชึวิตเป็นอย่างไร, มีอะไรที่จดจำได้ไม่ลืมเลย เป็นต้น อย่างน้อยอาจจะเป็นแบบอย่างให้กับคนที่กำลังตัดสินใจมาวิ่ง หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน น่าสนใจดีครับ แล้วผมจะเล่าการวิ่งครั้งแรกของผมให้ฟังในโอกาศต่อไป      จาก : นายมะขาม 


วิ่งครั้งแรกของผมตอนนั้นรู้สึกจะประมาณปี 2540 ตอนนั้นสยามกีฬาจัดชื่อว่ารวมพลคนปอดเหล็กเหตุจัดที่ ราบ11 ที่ลงวิ่ง เพราะเห็นใน โฆษณาบอกว่าถ้าเข้าเส้นชัยจะได้ถ้วยทุกคนผมก็อยากที่จะได้ถ้วยเพื่อเอามาใส่ตู้โชว์บ้างจึงสมัครทั้งๆที่ ไม่เคยซ้อม มาจริงๆจังๆในตอนนั้น แต่พอถึงเวลาวิ่งแต่ละกิโลมันช่างนานมากและเหนื่อยมากแต่ผมต้องการที่จะชนะตัวเองให้ได้ และก่อนวิ่งก็บอกกับ ตัวเองเอาไว้ว่า 10 กิโลต้องวิ่งไม่มีหยุดเดินแม้ถึงจุดให้น้ำก็ไม่รับน้ำถึงเส้นแล้วค่อยว่ากันพอถึงเส้นผมทำได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ มันรู้สึกภูมิใจ มากยิ่งกว่าได้ถ้วยเสียอีกเพราะเราเอาชนะตัวเองครั้งนั้นผมใช้เวลวา 1 ชม.พอดี                 จาก : คุณพ่อน้ำหวาน


วิ่งครั้งแรกของผมเกิดขึ้นเมื่อปี 2535 ตอนต้นปี ผมยังเรียนหนังสืออยู่และชอบอ่านหนังสือและบทความเป็นประจำ ผมเจอหนังสือเล่มหนึ่งของคุณหมอที่ชลบุรีเป็นผู้เขียนเรื่อง วิ่งเพื่อสุขภาพ เกิดแรงจูงใจที่อยากจะวิ่ง จึงเริ่มจากวิ่งเหยาะแค่ 10 นาที โดยทำตามคำแนะนำในหนังสือตลอด เมื่อวิ่งมากๆเข้าผมเกิดความมันส์ จึงเข้าร่วมแข่งขันครั้งแรกที่จัดวิ่ง 10 k ที่มาบุญครอง ตอนนั้น ค่าสมัคร 20 บาทยังไม่มีเหรียญหรือถ้วยรางวัล งานนั้นที่ 1 รู้สึกว่าจะได้เงินสด จึงมีนักล่าเงินรางวัลเพื่อการวิ่งมากมาย ปีนั้นผมตั้งเป้าว่า ผมจะวิ่งกรุงเทพมาราธอนที่จัดเป็นครั้งแรกให้ได้ และได้วิ่งสมใจอยาก ทำเวลาได้ 4 ชั่วโมง 45นาทีครับ หลังจากนั้นผมเลิกวิ่งไปซะอย่างนั้น หันเข้าไปเดินป่าเสาะแสวงหาธรรมชาติอยู่พักหนึ่ง ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมาวิ่งอีก แต่เป็นบรรยากาศที่ไม่เหมือนแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ค่าสมัคร อย่างต่ำ 100 บาทมีอาหารการกินพร้อม สนุกกว่าแต่ก่อนเยอะครับ                        จาก : วัชระ


ตอนนั้น...สมัยสาวๆ อิๆ ราวๆปี2537ค่ะก่อนหน้านี้ก็วิ่งออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอยู่เป็นประจำ ไม่รู้หรอกว่าเค้ามีการจัดวิ่ง เป็นระยะ มินิ-ฮาร์มาราธอนกัน จนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ร่วมกับจังหวัดได้จัดวิ่ง ก็ไปสมัครในระยะ10k (ซ้อมวันละประมาณ 3-5กิโลเมตร ก็คิดว่ามากเหลือเกินแล้วค่ะ) วันแข่งก็ไปวิ่ง ตอนนั้นไม่รุ้ว่า 10kมันแค่ไหนผ่อนหนัก-เบาไม่เป็น ใส่หมดเลยราวๆ 4-5 k ก็หมด ก็ยังวิ่งบ้างเดินบ้าง จากที่แซงคนโน้นคนนี้มา ถูกเก็บเลย ความรู้สึกตอนนั้นคิดว่า พอแล้วววววว..ครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตนะ พอเข้า เส้นชัยในเวลา 52.17นาที ได้เหรียญ ความรู้สึกใหม่เข้ามาแทน ภูมิใจจริงๆหายเหนื่อย..และคนที่ดูจะภูมิใจมากกว่าเราก็คือคุณแม่.. แค่เหรียญเดียวนี่ ใครไปใครมาที่บ้านนี่เอาไปโชว์เค้าหมด ก็เลยลองขยันซ้อมให้มากขึ้นและได้รู้จักกับนักวิ่งที่มีประสบการณ์มากกว่า ก็ศึกษาหาความรู้จากรอบๆสนามวิ่ง(ส่วนใหญ่วัยใกล้และเกษียนแล้ว) และบอกตัวเองว่าครั้งต่อไปไม่เดินแล้วนะ แล้วก็สำเร็จค่ะ ชนะอะไรก็คงไม่เท่าชนะใจตัวเองหรอกนะคะ จริงมั้ย...                                           จาก : แมวเหมียว


ครั้งแรกของผม (เรื่องวิ่งนะครับ) เกิดขึ้นเมื่อปลายๆเดิอนกันยายน ปีที่แล้วนี้เอง(2542) กับงานที่มีชื่อว่าอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จังหวัดนนทบุรีมินิมาราธอน ด้วยความอยากจะทดสอบว่าจะสามารถวิ่งได้ครบ(ถึง)10กม.หรีอไม่ ทั้งๆที่ไม่เคยซ้อมเลย ผลออกมาก็คือ เริ่ม START ผมก็พุ่งตัวออกไปอยู่แนวหน้าเลย (สูสีกับคุณพิทักษ์) แต่อยู่ได้ไม่เกินสองร้อยเมตร หัวเทียนเริ่มบอด กัดฟันเหยียบคันเร่งต่อ คราวนี้ ปะเก็นฝาสูบแตกเลยครับ เดินตลอด(เก้ากิโลเมตรกว่าๆ) แต่พอจวนจะถึงเส้นชัย พังเป็นพัง กดคันเร่งอีดที ......ผลออกมา หูอี้อตาลาย น้ำลายเหนียวคอไปหมด ยังดีที่ไม่เห็นดาว แต่เวลาพอใช้ ครับ หนึ่งชั่วโมงกับอีกยี่สิบสี่นาที (เจ้าภาพกำลังเก็บกวาดข้าวของ เตรียมตัว กลับบ้าน) ต่อจากนั้นมาก็วิ่งมาเรื่อยๆเกือบทุกงานก็ว่าได้ จนปัจจุบัน สะสมเหรียญได้ 35 เหรียญแล้วครับ(มินิ+ซุปเปอร์มินิ รวม 26 เหรียญ ฮาล์ฟ 9 เหรียญ).                    จาก : พิบูลย์ 


วิ่งครั้งแรกของผมเมื่อต้นปี 2540 สนามจอมบึง ลง 10 กม.หลังจากการฝึกซ้อมในปี 2539 เกือบตลอดปี จึงตัดสินใจเลือกสนาม จอมบึงเป็นสนามแรก ยอมรับว่าการวิ่งครั้งแรกนั้นดีใจที่สุดที่เราทำได้แต่กว่าจะวิ่งได้10 กม.ก็หนักพอสมควรพอวิ่งมาถึง กม.8 ก้าวขาไม่ออก เสียแล้วพยามเดินมั่งวิ่งมั่งจนถึงเส้นชัยจนได้ ใช้เวลา 48 นาทีกว่าถ้าเพื่อนนักวิ่งอยากลงมาราธอนครั้งแรก หรือ ฮาล์ฟ ครั้งแรก ขอแนะนำ สนามวิ่งที่จอมบึงจะได้วิ่งชมธรรมชาติของอำเภอจองบึง ราชบุรีหลังการวิ่งแล้วไปอาบน้ำแร่ร้อนที่บ่อคลึง อ.สวนผึ้ง เป็นการคลายเส้น ก่อนกลับบ้าน (อาจพบก๊อตอามี่ที่สวนผึ้งก็ได้นะครับ)            จาก : บางน้อย


ก่อนวิ่งได้กำลังใจมาจาก วันนั้นเป็นงานสวนหลวงมินิ วันนั้นผมสมัครเดิน แต่กว่าจะได้เดินนักวิ่งมินิก็เข้าเส้นชัยเกือบหมดแล้ว พอดีมีบู๊ธรับสมัครงานกล้วยน้ำไท ปี๔๒ ผมก็ตัดสินใจสมัครวิ่งมินิ แต่ก่อนวันวิ่งกล้วยน้ำไท ๑ วัน ผมไปวิ่งพันท้ายนรสิงห์ ๕ กม. ถึงวันวิ่งกล้วยน้ำไทผมวิ่งคู่กับคุณพ่อ ใช้เวลา๑ชม.๑๗นาทีครับ ตั้งแต่นั้นก้วิ่งมาเรื่อยๆ ได้เหรียญ๓๑เหรียญครับ         จาก : cat


ครั้งแรกของบุบผา (ฮิ ฮิ วิ่ง จ๊ะ วิ่ง) สำนวนของคุณพิบูลย์เขาน่ะ แรงบันดาลใจที่มาสู่ถนนนักวิ่งเริ่มเมื่อต้นปี 2539 ได้หันมาสนใจ การออกกำลังโดยเลือกวิ่งรอบหมู่บ้านทุกวันอาทิตย์ช่วงเช้า และได้ถูกชักชวนจากเพื่อนบ้านคนหนึ่งให้ลองมาวิ่งแข่งดู งานแรกก็ไปวิ่งทีงาน วิ่งมินิมาราธอนวัดพนัญเชิง-อยุธยา ตื่นเต้นมากเกรงว่าจะวิ่งไม่ได้ตามเวลาที่กำหนด ไม่รู้วิธีวิ่ง จึงทำให้เกิดอาการหน้ามืดเกือบจะเป็นลม แต่ก็สามารถเข้าถึงเส้นชัยได้ภายในกำหนดภูมิใจมากค่ะ ต่อจากนั้นก็วิ่งมาเรื่อย ๆ ออกจากบ้านเกือบทุกอาทิตย์ และสถานที่วิ่งที่ ประทับใจ ก็งานวิ่งแม่น้ำแคว กาญจนบุรี เป็นการวิ่ง ฮาล์ฟครั้งแรก สนุกมาก อากาศดี เย็นสบาย นี่แหละรสชาติชีวิต             จาก : บุบผา 


ร่วมวิ่งแข่งขันครั้งแรกในชีวิต (ที่ไม่เกี่ยวกับวิ่งออกกำลังกายประจำ เพราะวิ่งทำนองนั้นมาตั้งแต่อายุ 14 ) ก็คือสนามที่เกาะลอย อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี งาน"ไนกี้ 10 k" สนุก สดชื่น ที่สุดในชีวิตการวิ่ง ได้เพื่อนเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ประทับใจจนน้ำตาไหล เพราะนักวิ่งกว่า 90 % ไม่ถือตัว แม้ว่าจะเป็นคนมีตังค์ มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต พอลงมาแต่งชุดวิ่งแล้ว ทุกคนคือเพื่อน คือพี่ คือน้อง ที่ไม่มีอะไร มาขวางกั้น ที่ประทับใจสุดๆ จนต้องวิ่งในสนามแข่งขันต่างๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือ คนที่วิ่งข้างๆ แม่กลอง วิ่งมาด้วยกัน คุยกันอย่างเป็น กันเอง พอถึงเส้นชัย เขาควักนามบัตรในกระเป๋าตังค์ให้ 1 ใบ "รองผู้ว่าราชการจังหวัด...." ตั้งแต่นั้นมา แม่กลองจึงศรัทธาสนามวิ่งทุกสนาม เพราะที่นั่น หากใครไม่มองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป ที่นั่น...คืสถานที่ที่เราจะคบเพื่อนได้มากที่สุด(ในโลกก็ว่าได้) ....ชาว thairunning.com ว่ามั๊ย? อ้อ! เพิ่มเติม แม่กลองชอบวิ่งแค่ระยะ 10 กม. เพราะกำลังได้เหงื่อ ไม่เหนื่อยเกินไป เอ็นโดฟิน หลั่งได้ที่พอดิบ พอดี เคยวิ่งมาราธอน งานลอยฟ้า พ.ย.30 ครึ่งมาราธอน เกือบ 10 งาน เดี๋ยวนี้ 10 k อย่างเดียวเลยจ้ะ ไม่ทรมานสังขารน่ะ             จาก : แม่กลอง 


สนามแรกของผมเดือนสิงหา ปี41 "หาดใหญ่ วิ่งสู่ธรรมชาติ" ครับ หลังจากเริ่มหัดวิ่งต้อนต้นปี 41 แล้วมีคนมาชวน(หลอก) ให้ วิ่งแข่ง สนามแรกเป็นฮาล์ฟเลยครับ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยซ้อมครบระยะเลย ซ้อมมากสุด 15 กม. แต่คนที่ชวนบอกว่าวิ่งได้ครบแน่นอน ไม่ ต้องห่วง สมัครเสร็จ ขับรถดูสนามแข่ง คุณเอ๋ยผมแทบจะร้องไห้ มันมีเขาด้วย เจ้าคนชวนตัวดีดันไม่บอกก่อน ในใจคิดว่าวิ่งให้ถึง ก็บุญแล้ว ก่อนแข่งไม่มีการวอร์มเลยครับ เพราะกลัวหมดแรง (เชยมั๊ยครับ) เข้าสู่จุด start ก็ตื่นไปหมด เพราะคนวิ่งเป็นพัน (ไม่เคยร่วมวิ่งกับคนเยอะ ขนาดนี้มาก่อน) ไป start ข้างหลัง ไม่กล้าอยู่ข้างหน้า กลัวถูกชนล้ม(เพื่อนมันขู่ไว้) ขณะวิ่งคิดไปตลอดทางว่า กูจะไปรอดมั๊ยนี่ น้ำก็ไม่กล้ากิน กลัวจุก เมื่อถึงเขา ก็เดินทั้งช่วงขึ้นและลง มีคนแซว ก็บอกเขาว่า ไม่อยากลบหลู่ เจ้าป่าเจ้าเขา เลยเดินเพราะเป็นการสุภาพกว่าวิ่ง พอวิ่งกลับ จนเห็นเส้น finish ดีใจอย่างบอกไม่ถูกดีใจที่รอดมาได้ ดีใจที่ทำได้(ยังงงๆเหมือนกันว่าวิ่งถึงได้อย่างไร) ดีใจที่ไม่อายใคร ผมใช้เวลา 1.45 ชม. เมื่อจบแล้วคิดว่าจะไม่วิ่งแข่งอีก เพราะไม่รู้จะแข่งไปทำไม แต่เพื่อนตัวดีกลับบอกว่ามีแววดี แนะนำให้ซ้อม จนปัจจุบันติดวิ่งจนถอน ตัวไม่ขึ้น ครับ             จาก : บ้านนอก


ผมไม่เคยนึกมาก่อนหรอกครับ ว่าชีวิตผมจะมาวิ่งเป็นระยะทางไกล ๆ ถึง 10 กิโลเมตรอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ อย่าว่าแต่วิ่งเลย หลังจากเลิกสอนหนังสือมาทำงานหนังสือพิมพ์ (ที่ทำอยู่ทุกวันนี้) ได้ไม่นาน แค่จะออกกำลังกายก็ยังไม่เคยคิดเลย นอกจากงานแล้ว เวลาของผมจะหมดไปกับการเสพย์สุราในหมู่เพื่อน ๆ เสียมากกว่า การออกกำลังกายที่หนักที่สุดของผม ก็คือ การออกแรงยกแก้วเหล้า จากโต๊ะมายังปาก แต่ปรัชญาพุทธในหนังสือกำลังภายใน มักกล่าวไว้ "ทะเลทุกข์ไร้ฟากฝั่ง อาณาจักรพุทธไร้ขอบเขต วางดาบ ได้ก็เป็น อรหันต์ได้" ดังนั้น วันหนึ่ง ผมก็นึกได้ว่า อายุอานามตัวเราเองก็ชักจะมากขึ้นทุกวัน หากยังสมบุกสมบันอยู่กับการดื่มน้ำเมา โดยไม่คิด ออกกำลังกาย ก็อาจจะไม่ได้อยู่จนเห็นลูกจบการศึกษาเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ผมจึงเริ่มสนใจที่จะออกกำลังกาย โชคดีที่บริษัทผม มีห้องฟิตเนสเล็ก ๆ ไว้ให้พนักงาน และก็โชคดีที่คนกลัวตายอย่างผมมีไม่มาก คนใช้บริการจึงไม่เยอะ เลยทำให้ผมมีโอกาสใช้บริการของ ห้องฟิตเนสเป็นประจำ แต่กว่าจะใช้เป็นประจำได้ ก็ใช้เวลานานเป็นปีล่ะครับ แรก ๆ เข้าไปเล่นได้ไม่กี่วัน ก็หยุดเล่นเป็นเดือน กว่าจะบังคับ ตัวเองให้ไปเริ่มใหม่ได้ ก็ทำใจกันน่าดู แต่ในที่สุด ผมก็กลายเป็นสมาชิกประจำคนหนึ่งของห้องฟิตเนส แรก ๆ ผมก็ไม่ได้สนใจวิ่ง เพราะเชื่อ ในคำบอกเล่าว่า วิ่งมาก ข้อเข่าจะเสื่อม ผมจึงเล่นแต่ Step จำนวนเวลาก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามวันเวลา จาก 10-15 นาที ก็มาเป็น 20 นาที และในที่สุดก็ 30 นาที ตอนนั้น ผมยืดเป็นการใหญ่ คิดคนเดียวว่า เรานี่เก่งจริง ๆ สามารถเล่น Step ได้เป็นเวลาถึง 30 นาที จากนั้น ผมก็ เริ่มเบื่อ step เลยหันมาวิ่งบน tread mill ในห้องยิมนั่นแหละ แรก ๆ ก็วิ่งทีละ 5-10 นาที จนในที่สุด ก็สามารถวิ่งจนถึง 20 นาทีด้วยความเร็ว 6K ต่อชั่วโมง ในใจผม คิดชมตัวเอง ตอนนี้ เราเข้าขั้นนักวิ่งระดับโลกแล้ว ด้วยความผยอง ประกอบกับเบื่อการวิ่งอยู่กับที่ ผมจึงย้ายที่วิ่งไป ที่อาคารจอดรถ 7 ชั้นของบริษัท และก็สามารถวิ่งขึ้นลงได้หนึ่งรอบด้วยความภูมิใจในตัวเองอย่างที่สุด ในเวลานั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ่ง ใหญ่ มาก เวลาผมมองพนักงานคนอื่นในบริษัท ผมจะมองด้วยสายตาเหยียด ๆ ว่า พวกนี้ ไร้น้ำยา ไม่มีใครฟิตเหมือนอย่างผม จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็มีเพื่อนพนักงานบริษัทเดียวกันคนหนึ่งมาร่วมวิ่งด้วย ก่อนเริ่ม ผมมองดูเขาอย่างดูถูก เพราะเขารูปร่างเล็ก แถมผมยังไม่เคยเห็นเขา ใน ห้องยิมมาก่อน ในใจผมปรามาสเขาว่า หน้าอย่างนี้ จะวิ่งได้สักกี่น้ำ พร้อมกันนั้น ผมก็นึกในใจว่า เดี๋ยวผมจะวิ่งทิ้งเขาให้ขาดไปเลย พอเริ่มวิ่ง ได้ไม่กี่ก้าว เราก็เริ่มทิ้งกันจริง ๆ แต่เป็นเขาทิ้งผมนะครับ ไม่ใช่ผมทิ้งเขา ปรากฏว่า หลังจากเขาวิ่งขึ้นลงสองรอบแล้ว ผมถึงวิ่ง ได้หนึ่งรอบ และถึงตอนนี้ ผมถึงได้รู้ว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" ด้วยความโกรธ ผมเลยทิ้งให้เขาวิ่งต่อไปคนเดียว ส่วนผมก็เลิกวิ่งไปอาบน้ำ หลังจาก วันนั้น ผมก็พยายามวิ่งมากขึ้น แต่อย่างเก่ง ก็ได้ขึ้นลงอาคารจอดรถสักสามรอบ (รวมระยะทางประมาณ 4K) จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมก็เห็นป้าย โฆษณา เชิญชวนให้ไปวิ่งฝ่าราตรีลอยฟ้าบนทางด่วนบางนา-ชลบุรี ผมจึงไปชวนเพื่อนคนหนึ่ง (อาจารย์ lotus) ให้ร่วมวิ่งด้วยกัน แต่อาจารย์ lotus มันบ้าครับ บอกว่า วิ่ง 10K ยังไง ๆ ก็วิ่งถึง ต้องลอง Half เลย มันถึงจะถึงใจ ผมเลยบอกอาจารย์ lotus ว่า ถ้าจะฆ่าตัวตาย ก็เชิญ อาจารย์ ไปคนเดียว ส่วนผมยังอยากดูโลกอีกนาน ๆ ผมขอวิ่งแค่ 10K ก็พอแล้ว หลังจากนั้น เราสองคนก็ไปสมัคร ผมสมัคร 10K ส่วน อาจารย์ lotus สมัคร half จริง ๆ จากนั้น เราก็เริ่มซ้อมกัน อาจารย์ lotus ฟิตกว่าผมเยอะ เวลาซ้อมด้วยกัน จะ knock รอบผมเป็นว่าเล่น (เราซ้อมโดยการวิ่งวนบนอาคารที่จอดรถ) ระยะทางสูงสุดที่ผมวิ่งซ้อมนั้น ประมาณ 6K เท่านั้นเอง ยิ่งใกล้วันแข่ง ผมก็ยิ่งกังวล กลัวว่า จะไม่สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้ เพราะตอนซ้อมแค่ 6 กิโล ก็แทบคลานแล้ว แต่อาจารย์ lotus ก็พยายามให้กำลังใจ โดยบอกว่า วิ่งไม่ไหว เดินเอาก็ได้ ในที่สุด ก็ถึงวันแข่ง พอผมไปถึงที่แข่งขัน ผมถึงกับตกตะลึง เพราะนึกไม่ถึงว่า ในโลกนี้ จะมีคน "บ้า" มากขนาดนี้ ผู้คนคราคร่ำ ไปหมดบนทางด่วน (แล้วผมก็ปล่อยไก่ตัวใหญ่ด้วยการพยายามตามหากองอำนวยการเพื่อรายงานตัวตามวิสัยนักกีฬาที่ดี แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่ เจอสักที) พอถึงเวลาวิ่ง ผมก็ได้พบกับความประทับใจมากมาย ผมได้รู้จักกับลุงปรีชาครั้งแรกก็ที่นี่ ประทับใจในความสามารถในการเป่า mouth organ ของแก ผมได้รู้จักกับชมรมเพื่อนสวนลุม ที่วิ่งกันไปเป็นกลุ่ม และมีคนบีบแตรตลอดทาง ผมได้พบนักวิ่งที่สูงอายุ แต่สามารถวิ่ง เร็วกว่าผมจำนวนมากมาย (ทราบมาทีหลังว่า มีท่านหนึ่งอายุถึง 77 แล้ว แต่ยังสามารถลงวิ่ง marathon ได้) แต่สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุด ก็ตอนที่ตัวเองสามารถวิ่งเข้าเส้นชัยจนได้ในเวลา 1.12 ชั่วโมง และก็ได้รับเหรียญ (ซึ่งสวยที่สุดในความรู้สึกของผม เพราะเป็น เหรียญแรก ที่ผมได้รับ) มาคล้องคอ ความรู้สึกของผมในตอนนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองเพิ่งชนะเลิศการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคส์ มายังไงยังงั้น เลยทีเดียว ก่อนวิ่ง ผมตั้งใจว่า ขอวิ่งครั้งเดียวในชีวิต แต่พอวิ่งเสร็จ ผมบอกกับตัวเองทันทีว่า "ครั้งเดียวไม่เคยพอ" และตอนนี้ ผมกำลัง ตั้งเป้าที่จะขอลง Half ในตอนปลายปีนี้ และจะขอลง marathon ในปีหน้า มีคนเคยเตือนผมว่า ถ้าลง marathon แล้วจะได้รู้ว่า นรกนั้นมีจริง แต่ผมจะไปไขว่คว้าหาสวรรค์ครับ             จาก : พัฒนะพงศ์ 


อ่านเรื่องของเพื่อนๆ ชาวthairunning.com น่าสนใจและสนุกทุกเรื่อง และเพิ่งรู้ว่าคุณพัฒนะพงษ์เป็นนักเขียน นักเล่าเรื่องที่ได้ อรรถรสมาก สำหรับดิฉัน...เมื่อการวิ่ง UN ปีที่แล้ว นายมะขามวิ่งมินิเป็นครั้งที่สอง ได้บอกให้ดิฉันไปถ่ายรูปเขาไว้เป็นที่ระลึก จับภาพ ตอนเข้าเส้นชัยเลยนะ เมื่อไปถึงงาน รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับผู้คนที่มากมาย อะไรจะปานนั้น! หลังจากนักวิ่งทยานตัวจากจุดสตาร์ทแล้ว ช่างภาพ จำเป็นก็ให้รู้สึกเหงา จึงรีบจ้ำพรวด (กะว่าความเร็วไม่ให้แพ้คนวิ่งเชียว)ไปดักถ่ายภาพตามจุดตัดของถนน และแล้วที่ถนนสามเสน ก็เหลือบ ไปเห็นอนงค์นางหนึ่ง พิศดูคุณวุฒิแล้ว เราก็สาวกว่าชัวร์อยู่แล้ว เมื่อสังเกตลักษณะการวิ่ง ก็ประจักษ์ว่าขานาง นั้นโก่ง(กว่าเรา) ชัดเจน จึงมานึกว่าไฉนเลยเราจะเป็นข้าวนอกนาอย่างนี้ เขาวิ่งได้ ไยเรามายืนมองดูเขาวิ่งอยู่เฉย ว่าแล้วก็ปรึกษานายมะขาม และเริ่มจาก เดิน-วิ่ง ครั้งแรกที่งานวิ่งมินิครั้งแรกของคุณพัฒนะพงศ์นั่นแหละ โอ้โหใส่ชุดวิ่งเสียเท่ห์เชียว ในงานนั้นจึงสมัครวิ่งไปสามงานคือกรุงเทพมาราธอน วิ่งสวนหลวงร.๙ และวิ่งเขาชะโงก (ซะเลย) แต่ที่วิ่งจริง ๆ งานแรกคือวิ่งมิดไนท์นครบาลร่วมใจฯ เมื่อคืน ๑๓-๑๔ พฤศจิกายน ปีที่แล้ว ระยะ ทาง ๑๑ กม. เวลา ๗๘ นาที ภูมิใจเหมือนทุกๆ คน ทุกวันนี้ยังวิ่ง(แม้จะไม่ค่อยได้ซ้อมก็ตาม) เป็นส่วนหนึ่งของแผนชีวิตเพื่อเตรียมเกษียณ ก็อีกไม่นาน ไม่ถึง ๒๐ ปีดี                จาก : ดวงตา


ไม่เห็นโลง ไม่หลั่งน้ำตา วาจาอันเป็นบทเปรียบเทียบที่ดีของบู้ลิ้ม ผมก็เช่นกันไม่เคยสนใจเรื่องออกกำลังเลยจนอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นั่งดูหนังสืออยู่(นั่งยองๆ)เพราะกำลังประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ก็มีเพื่อนมาเยี่ยมถึงบ้านด้วยความรีบก็ลุกพรวดพราดขึ้นยื่นเพื่อ จะเปิดประตูบ้าน เอ๊ะ ทำไมเลือวิ่งไปถึงหัวและแล้วหน้าก็มืดแถมยังทรงตัวไม่อยู่หัวทิ่มลงพื้นเสียอีก จนคนในบ้านตกใจไปเปิดประตูให้แทน หลังจากนั้นก็ไปหาหมอผลคือครบครับ ความดันโลหิตสูง เบาหวานอ่อนๆ หัวใจไม่ปกติ หมอให้ยามาเป็นกำ และกับชับให้หาเวลา ออก กำลังกายบ้าง... ด้วยความกลัวตายก็ไปสวนลุมซึ่งใก้ลที่ทำงาน ไปเดินบ้างวิ่งบ้าง แต่ส่วนใหญ่มักจะแพ้ใจตัวเองกล่าวคือ ไปเดินแค่ รอบ เดียวแล้วก็จับกลุ่มคุยเรื่องสาระพัดที่จะคุยกัน... ผลคือยังอ้วนเหมื่อนเดิม วิ่งก็ไม่ได้เรื่อง เคยไปวิ่งงานราบ 11 ผลคือคุณเสือเก็บโต๊ะ เรียบ ร้อยแล้วผมค่อยเดินเข้าเส้นใช้เวลา 1.28 ในสนามแรก หลังจากนั้นก็วิ่งบ้างหยุดบ้างตามอารมณ์ไม่แน่ไม่นอน... แต่ที่แน่ๆ คือต้อง กินยา เป็นกำๆ มีความตั้งใจจะลดน้ำหนักเพื่อจะได้วิ่งด้วยความสูขแต่ไม่สำเร็จ. มักจะแพ้ใจแพ้ปากตัวเองเสียก่อนทุกที .ประกอบ ช่วงนี้ ตกงาน ยิ่งกินเป็นอุตสาหกรรมเลย คุณพัฒนะพงศ์ เคยแนะนำสูตรมะนาวลดน้ำหนักก็ได้แต่ตั้งใจยังไม่มีการปฎิบัติ. เฮ้อกลุ้มใจ.. จาก : ประธาน 


ตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็เป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย เล่นทั้งฟุตบอล รักบี้ และวิ่งระยะสั้นประเภทลู่ แต่ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นรักบี้ หลังจากจบก็ไม่ได้เล่นกีฬาพวกนี้ มีวิ่งออกกำลังกายบ้าง ที่เล่นเป็นประจำก็เป็นกอล์ฟ กีฬาประเภทนี้ใช้เวลามาก ยังเคยชวนภรรยา ไปเล่น อยู่พักใหญ่ๆพักหนึ่ง ถึงตอนนี้ยังชอบกีฬากอล์ฟอยู่ด้วยนอกจากชอบวิ่งมากที่สุด เริ่มวิ่งมินิครั้งแรกที่งานวิ่งทางคู่ขนาน ลอยฟ้า ปิ่นเกล้า-นครชัยศรีหรือบรมราชชนนีนั่นเองราวๆเดือนพฤษภาคม 2541 แรงจูงใจมาจากบ้านอยู่แถวนั้น รู้สึกถึงบุญคุณของในหลวง ที่สร้างทางให้พวกเราใช้ จึงตั้งใจจะวิ่งเพื่อในหลวง ให้ลูกน้องไปสมัครให้ที่เวิลร์ดแอคชั่น แล้วก็ซ้อมวิ่งวันละ 3-4 กม. ก่อนถึงวันวิ่งรู้สึกตื่นเต้น แต่ก็คิดเป็นไงเป็นกัน เราลูกผู้ชายนายหนวดเรื่องแค่นี้ต้องลองกันหน่อย ถึงวันวิ่งจริงๆได้เจอหลายๆ เรื่องที่ไม่มีทางลืมได้เลยแม้จะผ่าน วันเวลามาถึงปัจจุบัน 

เรื่องแรก... เมื่อไปถึงพบนักวิ่งมากมาย งานนั้นมีหลายพันคน ตื่นเต้นมาก โอ้โฮ..ทำไมคนสนใจวิ่งมากอย่างนี้

เรื่องสอง...เมื่อปล่อยตัวกว่าจะได้วิ่งจริงก็ต้องเดินเบียดเสียดกันราว2-3 นาทีเพราะผมมาถึงจุดสตาร์ทช้ากว่าคนอื่น จึงต้องอยู่แถว หลังๆแต่ไม่หลังสุด เมื่อเริ่มวิ่งได้ก็วิ่งสุดแรงเกิด วิ่งไปได้ไม่นานหมดแรง หายใจไม่ทัน เอ๊ะ แต่คนอื่นยังวิ่งได้เป็นปรกติ โธ่เอ๊ย..นี่ยังไม่ถึง 1 กิโลเลย ทำไงดี เอ้า วิ่งช้าๆ ตามคนอื่นไป เหนื่อยมากๆเข้าก็เดิน หายเหนื่อยก็วิ่งต่อ ไปอย่างนี้เรื่อย กว่าจะเข้าเส้นชัยก็หมดรูปนักกีฬาเก่า ปาเข้าไปตั้ง 1 ชั่วโมง 28 นาที หลังรับเหรียญแล้วคิดในใจทันที เราจะต้องมาร่วมวิ่งอีก และจะต้องทำเวลาได้ดีกว่านี้แน่ๆ 

เรื่องสาม...ผมมาถึงจุดสตาร์ทช้า และเริ่มปล่อยตัวทันที ก่อนวิ่งรู้สึกปวดท้องข้องใจทั้งสองอย่าง มันปั่นป่วนไปหมด แต่เมื่อคนอื่น เริ่มวิ่งแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร ก็วิ่งไปทั้งที่อยากเข้าห้องน้ำ พอวิ่งไปได้สักหนึงกิโล เอ..ชักจะไม่ไหว จะวิ่งกลับก็ไม่ได้ จะเข้าข้างทาง ก็ไม่ได้เพราะอยู่บนถนนลอยฟ้า ก็ต้องกัดฟันวิ่งต่อไปอย่างเงียบเชียบ ฟังนักวิ่งที่วิ่งข้างๆคุยกันอย่างมีความสุขแล้วรู้สึกอิจฉา เราทั้งเหนื่อยทั้ง ปวดท้อง พอมาผ่านจุดให้น้ำจุดแรก ผมดีใจเป็นที่สุด มีรถบริการสุขากทม. 2 คันจอดบริการให้นักวิ่งบนถนนลอยฟ้า คุณเอ๊ย...ตอนนั้นคิดนะ สวรรค์มีจริง ขอบคุณผู้จัดและกทม.จริงๆ เสร็จธุระแล้ววิ่งต่อได้อย่างตัวเบา 

เรื่องที่สี่...เกี่ยวกับนักวิ่งหญิง เห็นนักวิ่งหญิงแล้วผมก็ประมาทในใจ อะไรจะมาสู้เรานักกีฬาเก่าได้ เดี๋ยวจะวิ่งแซงให้เห็นประจักษ์ ในฝีเท้าฝีมือเรา เอาเข้าจริงๆ โดนนักวิ่งหญิงแซงคนแล้วคนเล่า แม้แต่เด็กผู้หญิงหรือคนแก่รุ่นอาม่าก็แซงผมเรียบ ผมคิด อะไรกันนี่ แสดง ว่าเขาซ้อมมาดีมาก หรืออีกอย่างหนึ่งพวกเขามีสุขภาพดีมาก 

เรื่องที่ห้า...เป็นเรื่องนักวิ่งหญิงอีกเรื่องหนึ่ง ผมวิ่งตามนักวิ่งหญิงมาคนหนึ่ง รูปร่างเธอดีมาก ผมยาวสลวย จึงเกิดแรงฮึดวิ่งแซง หวังจะเห็นหน้าเธอผู้นั้น ผมต้องรีบหันหน้ากลับและสปีดหนีขึ้นไปอีกโดยแรงเพราะนอกจากใบหน้าเธอ จะไม่สวยแบบไปวัดต้อง ไปตอน หัวค่ำแล้ว เธอยังทำหน้าเหยเกเพราะความเหนื่อย ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันไม่มองอีกเลย 

เรื่องที่หก...วิ่งเสร็จมาเดินดูบู๊ธและกลับขึ้นรถ ตลอดทางพบนักวิ่งหลายคนที่ไม่รู้จักกันเลยแต่ทักทายกันอย่างสุภาพ และเป็นกันเอง ถามไถ่เรื่องการวิ่งวันนั้น เส้นทาง โปรแกรมต่อไปจะวิ่งที่ไหน ผมประทับใจนักวิ่งไทยมากครับ 

วิ่งผ่านมาหลายงานทุกงานผมจำได้หมดแต่รายละเอียดครั้งแรกไม่ลืมเลย เหนื่อย สนุก ท้าทาย และเชิญชวน นี่แหละคือการวิ่ง 
จาก :
นายมะขาม 


วิ่งครั้งแรกก็สนามบางไทรเลยค่ะ มินิมาราธอน 10 กิโลเมตร... อันที่จริงตามแมวเหมียวไป ไม่ได้ตั้งใจไปวิ่งแต่อยากไป เป็นเพื่อน น้อง และอยากไปดูบรรยากาศค่ะ. ผู้คนคึกคักมาก เห็นแล้วคึกคักตาม ตัดสินใจดังฉับ...ไปสมัครวิ่งและซื้อรองเท้าที่หน้างานนั่นแหละค่ะ รีบไปฝากของที่จุดรับฝากซึ่งห่างจากจุด start พอสมควร วิ่งกลับมาเขาปล่อยไปแล้วสัก 5 นาที วิ่งปุเลงๆตามเขาไป . ผ่านบ้านคน ผ่านทุ่งนา อากาศเย็นสบาย  ไม่รู้จังหวะการวิ่งมาก่อนในชีวิต เพราะไม่เคยซ้อมวิ่ง พยายามวิ่งให้ทันคนข้างหน้า วิ่งไปเกาะกลุ่มท้ายๆ ช่วงกิโลแรกยัง ไม่รู้สึกเหนื่อย เหิมเกริมค่ะท่านผู้ชม....วิ่งแซงชาวบ้านไปเรื่อยๆ ถึงจุดให้น้ำจุดแรก ฮ่ะๆๆๆ ไม่จอดด้วย....เมินเสียเถอะคราว นี้เริ่มไปเกาะ กลุ่มกับป้าๆ ลุงๆ วัย 40-50 ปี ที่น่ารักและใจดีมากๆ วิ่งกันไปให้กำลังใจกันไปตลอดทาง พอขึ้นกิโลที่ 4 รู้สึกเจ็บท้องนิดหน่อย คิดว่าคง เหนื่อยเลยชะลอความเร็วลง วิ่งๆเดินๆไปต่ออีกสักเกือบกิโล เริ่มปวดหลังด้านขวาใกล้บั้นเอว...ตายละวา..ทำไงดี ....เริ่มเดินแล้ว คนที่เรา แซงมาก็มาแซงคืนพร้อมให้กำลังใจ....ใจสู้ขึ้นมาอีกเฮือก... จากกิโลที่ 5 จนเข้าเส้นชัย เดินๆวิ่งๆมาตลอดค่ะ เลี้ยวเข้าเขตศุนย์ก้าวขา แทบไม่ออก มีพี่คนนึงพยายามลากไปด้วย ใจมันสู้แต่ร่างกายไม่ให้ความร่วมมือ ฮ่าๆๆๆ...ต้องขอโทษขอโพยพี่เขายกใหญ่ให้ล่วงหน้า ไปก่อนเถิด เอาชีวิตรอดมาได้ ครั้งแรกนี่ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 20 นาที พร้อมกับใช้วันลางานอีก 1 วัน ฮ่าๆๆๆ ...... จาก : พี่สาวแมวเหมียว


ผมถูกคุณ พัฒนะพงศ์ ชวนวิ่งครั้งแรกด้วยกันที่งานวิ่งลอยฟ้าเดือนตุลาปีที่แล้ว ทีแรกแกว่าจะสมัครฮาล์พ ผมก็ตกลง เพราะเป็น การวิ่งที่ออกตอนเที่ยงคืน (midnight marathon) ออกพร้อมกับมาราธอนเลย แต่มารู้ที่หลังว่าถอดใจเหลือมินิ มีเวลาซ้อมวิ่งแค่ 1 เดือน ก่อนนั้นไม่ได้วิ่ง แต่ขี่จักรยานเสือภูเขามาได้เกือบปี ทำให้ปอด หัวใจแข็งแรงไม่เหนื่อยง่าย จึงคิดว่าวิ่งฮาล์พคงไหว ไม่อยากวิ่งมินิเพราะ ต้องการได้สัมผัสบรรยากาศวิ่งตอนเที่ยงคืน เริ่มซ้อมบน treadmil เหมือนคุณ พัฒนะพงศ์ เริ่มจาก 20 นาที จนวิ่งได้ไม่หยุด 45 นาที ตาม โปรแกรมที่ตั้งไว้ได้สูงสุด ซ้อมมากที่สุดคือวิ่ง 45 นาทีสองรอบคือ 90 นาที ระยะทางคงราวๆ 12-13 กม วิ่งบนโรงรถเหมือนกัน แต่แค่ 2-3 ครั้ง ไม่วิ่งทุกวัน แค่ 3 วันต่อสัปดาห์ ที่เหลือก็ขี่จักรยาน พอวันแข่ง วิ่งได้ดีมาก จุดกลับตัวกินเวลาแค่ 1.05 ชม. แต่พอถึง 12 กม เริ่มเจ็บขา เข่า อย่างมาก จนต้องเดิน สลับวิ่ง จนถึง 2 กม สุดท้าย เจ้าหน้าที่ให้กำลังใจว่าจะถึงแล้ว อีกนิดเดียว จึงฝืนวิ่งตลอด ใช้เวลา 2.30 ชม ดีใจที่วิ่งได้ สำเร็จ บรรยากาศดี บริการเยี่ยม มีสุขาบนทางวิ่งด้วย sponsor ก็มีให้กิน เหรียญก็สวย จากนั้นก็ติดใจวิ่งมาตลอด ผมขอชมคุณบ้านนอก ที่วิ่งครั้งแรกก็ฮาล์พเลย และทำเวลาไม่ถึง 2 ชม ด้วย ผมสังขารไม่ให้แล้ว แก่กว่าคุณ พัฒนะพงศ์ เสียอีก            จาก : lotus


ครั้งแรกวิ่งลอยฟ้าบรมราชชนนี เชิงสะพานปิ่นเกล้า ประมาณปี 40 ระยะทาง 10 กม ผมเคยวิ่งรอบๆ หมู่บ้านไ ม่รู้ระยะทาง แต่ตั้งใจว่าจะวิ่งไม่ เดินเลย และไม่กินน้ำเพราะกล้วจุก กว่าจะเข้าเส้นชัยได้ประมาณ 1.27 ชม กลับมาบ้านหลับไปถึงบ่ายๆ สนุกครับ
 จาก : ยิ่งยง 


ครั้งแรกที่เขาชโงก รร.นายร้อย จ.ป.ร. ตอนแรกก็ถามผู้จัดเมื่อครั้งที่แล้วเขาบอกว่าวิ่งทางราบไม่ขึ้นเขาเหมือนวิ่ง 16 หรือ 32 กม. ก็เผลอปากไปว่างานนี้จะไปแน่ๆ ก็เลยต้องไป วันนั้นอากาศหนาวมากครับ วิ่งไปได้ สัก 1-2 กม. ขึ้นเขา ผมหายใจไม่ออกเลย(เป็นหอบ) ต้อง ฝืนวิ่งไปสักพักหายใจโล่งมาก(อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน) จึงหอบสังขารมาได้ด้วยเวลา 50 นาที ตอนนอนมีคนชมว่าหุ่นนักวิ่ง มีนักวิ่ง แนวหน้าหลายคนมาถามเวลาผม แต่ดันใส่ป้ายชื่อด้านหลังเลยรู้กันเสียก่อนว่าไม่ใช่            จาก : นายเจต 


เนื่องจากผมเคยเล่าเหตุการณ์ก่อนที่จะมาวิ่งแล้ว ก็เลยเล่าเฉพาะตอนที่ลงวิ่งจริงๆ ครั้งแรกของผม ก็คืองานวิ่งเพื่อยูนิเซฟ ตอนเที่ยงคืนของวันปีใหม่เมื่อปี 2542 ระยะทางแบบเด็กๆ คือ 5 กิโลเท่านั้น ผมไปสมัครช่วงหัวค่ำเป็นคนที่ 5000 กว่าๆ ตอนนั้นมีดนตรี ลูกทุ่งแสดงด้วย ผู้คนคึกคักมาก เนื่องจากปล่อยตัวตอนเที่ยงคืนช่วงเวลาก่อนปล่อยตัวก็เลยไปนั่งจิบเบียร์รอเวลาที่ร้านๆหนึ่ง คืนนั้นเขา มีจับของขวัญปีใหม่ให้ลูกค้าด้วยตอนเที่ยงคืนพอดี ผมก็เลยพะวักพะวงเล็กน้อย ด้วยความที่อยากวิ่งแล้วก็อยากได้ของขวัญ ด้วยก็เลยบอก เจ้าของร้านว่า ผมขอออกไปธุระแป๊บนึงแล้วจะรีบกลับมาจับฉลากด้วย รอผมด้วยนะอย่าเพิ่งแจกหมด เพื่อยืนยันว่าผมจะกลับมาจริงๆ ผมก็เลยยังไม่จ่ายค่าเบียร์แล้วก็ฝากสัมภาระเค้าไว้ด้วย ออกมาที่ห้องน้ำเปลี่ยนชุดวิ่งแล้วก็เดินไปที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ไปถึงใกล้ เวลาปล่อยตัวแล้ว ก็เลยรีบยืดเส้นแล้วก็วอร์ม จากนั้นก็ไปรอที่จุดสตาร์ท ผมอยู่ห่างจากจุดสตาร์ทหลายสิบเมตรเพราะคนเยอะมาก พอได้เวลา 0.00 น. พลุฉลองปีใหม่ก็จุดอย่างสว่างไสวพร้อมๆกับการที่นักวิ่งเริ่มออกวิ่ง ผมต้องเดินอยู่นานพอสมควรกว่าจะถึงจุดที่ สามารถก้าวขาช่วงสั้นๆได้และเริ่มออกวิ่งช้าๆ พร้อมกับพิจารณา เส้นทางวิ่งรอบสวนจิตรซึ่งประดับไฟสวยงามมาก ผมกะระยะทางและ ความเร็วไม่ค่อยถูกก็เลยวิ่งแบบออมแรงไปเรื่อยๆ ถึงจุดให้น้ำที่มีอยู่จุดเดียวปรากฎว่าน้ำหมดเสียแล้ว ใจเริ่มฝ่อว่าเราจะไปไหวไหมนี่ เห็นคนอื่นๆ ที่มาเจอน้ำหมดเขาก็ไม่เห็นว่าอะไรกันก็เลยทำใจวิ่งต่อไปเรื่อยๆ วิ่งมาจนกะว่าคงใกล้จะถึงเส้นชัยแล้วมั้งเร่งความเร็ว ที่ออมไว้ดีกว่า แต่ความรู้สึกผมช้าไปนิดนึงครับ เร่งได้ไม่กี่สิบเมตรก็เข้าเส้นชัยไปซะแล้ว วันนั้นผมทำเวลาไปประมาณ 30 นาที (5 กิโลครับ ไม่ใช่ 10 กิโล) ได้รับเหรียญแรกในชีวิตภาคภูมิใจมาก (ภาคภูมิใจจนกลับมาถึงบ้านแล้วยังถ่ายรูปนั่งๆนอนๆคู่กับเหรียญอีกตั้งหลายรูป) หลังเข้าเส้นชัยก็ดื่มสปอนเซอร์เดินไปเดินมาให้เหงื่อระเหย แล้วก็รีบกลับไปยังร้านที่ติดธุระกันไว้ทันที ไปถึงเกือบจะตี 1 โชคดีที่ยังจับ ของขวัญไม่เสร็จ ผู้คนไม่รู้มาจากไหนในร้านแทบจะขี่คอกันตาย พอจับของขวัญเสร็จผมก็กลับบ้านเลย เพราะว่าที่มันค้างไว้ตั้งแต่ตอนจะ ออกไปมันต่อไม่ติดซะแล้วครับ หลังจากวิ่งวันนั้นก็ปวดเมื่อยนิดหน่อย มีคนยุให้ลง 10 กิโล อีก 10 วันถัดมาผมก็ไปวิ่งไทยซิกซ์ ซึ่งเป็น 10 กิโลครั้งแรกในชีวิตของจริง เหนื่อยจนสุดจะบรรยายแต่ก็เข้าเส้นชัยจนได้ด้วยเวลา 1.02 ชั่วโมง ภูมิใจมาก (แต่ครั้งนี้กลับบ้านแล้วไม่ได้ ถ่ายรูปคู่กับเหรียญเหมือนครั้งแรก)                จาก : sumeth


สวัสดีครับ....การวิ่งครั้งแรกของผมเป็นการวิ่งที่ งาน Recycle เมื่อ 24 กันยายน 43 นี้เองที่พุทธมณฑล ตอนแรกกลัวไม่ได้วิ่ง เหมือนครับเพราะช่วงที่ไปถึง ฝนยังตกอยู่เลย (คิดในใจเหมือนกันว่าเรามาวิ่งครั้งแรกฝนฟ้า ไม่เป็นใจรึเปล่าสาบานไว้หลายเรื่องด้วยซิเรา) สนุกมากครับ สำหรับการวิ่ง ครั้งแรกแต่ก็เล่นอาเหนื่อยเหมือนกันครับตอนที่ วิ่งไปได้ประมาณครึ่งทางยังคิดเลยว่าจะครบ 10 ก.ม.มั้ยเนี๊ย (เริ่มมองหารถพยาบาลแล้วครับ) แต่พอดีมองไปเห็นเด็ก ๆ วิ่งกันหลายคนเลยเกิดความฮึดขึ้นมาพยามยามวิ่งต่อ ช่วงที่ วิ่งอยู่ประมาณกิโลที่ 8-9 เริ่มรู้สึกตึงช่วงเข่ามาก พอสมควร ก็เลยหยุดเดินบ้าง วิ่งบ้างสลับกันไป พยามยามประคองสังขารตัวเอง มาจนถึงเส้นชัยใช้เวลาไปก็ 1 ชั่วโมงกับ14 นาที ครับ ตอนเช้าตื่นขึ้นมารู้สึกเมื่อยไปหมดเลย ยอมรับนะครับว่าการวิ่งครั้งนี้มีหลากหลายรสชาติดีครับทั้งสนุกทั้ง เหนื่อยรวม กันไปครับ เป็นการวิ่งครั้งแรกที่ไกลที่สุดของผม ผมจะเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดีตลอดไปครับ            จาก : ลูกปู


ผมอยากทราบแรงดลใจในการวิ่ง 56 ครั้งใน1ปี เล่าให้ฟังหน่อยคร้าบ โดย...โอดโอย

แรงดลใจหลักอาจมาจากผมนิยมการเสริมสุขภาพมากกว่าการซ่อมสุขภาพ เพราะคิดว่าถ้ามีสุขภาพกายดี สุขภาพจิตก็จะดี เมื่อสุขภาพจิตดี มันสมองก็จะดีติดตามมาเราก็สามารถทำงานที่รับผิดชอบอยู่ให้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มีหลายคนถามผมว่าทำไมต้องตื่นแต่เช้ามืดทุกวันอาทิตย์ขับรถไปตามสถานที่ต่างๆไม่ว่าในกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัดเพื่อไปวิ่งแค่ 10 กม.หรือ 21 กม.แล้วขับรถกลับชลบุรี ผมก็ไม่ทราบหรอกว่าทำไม แต่ผมคิดว่าผมไปวิ่งแล้วผมมีความสุขมากๆๆๆๆ ผมได้เจอมิตรภาพที่ไร้ผลประโยชน์จากเพื่อนๆนักวิ่ง จากสนามวิ่งต่างๆ มันทำให้ชีวิตผมมีความสุขมากขึ้น ทั้งที่วันทำงานปกติก็ตื่น 8 โมงเช้า แต่อาศัยเลิกงานได้เร็วหน่อยไปซ้อมวิ่งกับเพื่อนๆที่ชมรมฯในสวนตำหนักน้ำชลบุรี ผมมิใช่นักวิ่งแนวหน้าประเภทความเร็ว แต่เป็นนักวิ่งไม้ประดับมืออาชีพครับ สถิติของผมรอการทำลายจากเพื่อนๆนักวิ่งอยู่นะครับ มาแข่งกันว่าปีนี้ 2546 ใครจะวิ่งเกิน 56 สนามบ้าง (ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผมยังมิเคยขาดวิ่งแม้แต่อาทิตย์เดียว) แล้วท่านอื่นหละครับมีแรงดลใจอย่างไรบ้างเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ โชคดีมีความสุขมากๆ สวัดสดีครับ .........เสี่ยดำ-ตำหนักน้ำ