"วัยทอง" เป็นคำที่ได้ยินบ่อย
ๆ ในปัจจุบัน
เนื่องจากเป็นคำใช้แทนคำว่า
"วัยหมดประจำเดือน" (menopause)
สำหรับในหญิงการหมดประจำเดือนเป็นภาวะที่ไม่มีประจำเดือนอีก
เนื่องจากรังไข่ไม่ทำงาน
โดยทั่วไปจะคิดเมื่อไม่มีประจำเดือนอีก
12 เดือน
และจะนับการมีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเป็นวัยหมดประจำเดือน
อายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่เข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน
คือ 44-45 ปี
ปัจจุบันผู้หญิงมีอายุยืนเฉลี่ยประมาณ
76 ปี
แสดงว่าหนึ่งในสามของอายุขัยผู้หญิงอยู่ในวัยหมดประจำเดือน
สำหรับในผู้ชาย "วัยทอง"
คือ
ภาวะขาดฮอร์โมนเพศชายหรือทางการแพทย์เรียกว่า
ผาดัม (pardum)
มักเกิดกับผู้ชายอายุประมาณ
40 ปีขึ้นไป
โดยระดับฮอร์โมนจะลดลงเรื่อย
ๆ
เนื่องจากอัณฑะจะผลิตฮอร์โมนเพศชายลดลง
อากรที่พบมาก
ในเพศหญิงวัยทองเช่น
อาการร้อนวูบวาบตามใบหน้า
ศรีษะ คอ และส่วนบนของทรวงอก
ซึ่งเป็นอาการที่พบ
ประมาณร้อยละ 60-85
ผู้ที่มีอาการจะรู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณหน้าซึ่งเกิดขึ้นนานเป็นเวลา
1-2 นาที ตามด้วยอาการหนาวสั่น
มีเหงื่อออกตามลำตัวและฝ่ามือ
โดยเฉพาะตอนกลางคืน
นอนไม่หลับ วิตกกังวล
อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
ความรู้สึกทางเพศลดลง
ช่องคลอดแห้งและติดเชื้อบ่อย
ตลอดจนการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
หรือกระดูกผุและหักง่าย
ล้วนเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง
คือ "เอสโตรเจน" ทั้งสิ้น
สตรีที่ย่างเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน
สามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ
1.)
ช่วงที่1 เรียกว่า premenopause
ระยะนี้เป็นประจำเดือนอาจจะไม่ค่อยสม่ำเสมอและอาจจะขาดหายไปบ้าง
เป็นช่วงสั้น ๆ
โดยมากถือว่าจะเริ่มต้นเมื่ออายุย่างเช้า
40 ปี
2.)
ช่วงที่ 2 เรียกว่า preimenopause
คือ
ช่วงเวลาที่เริ่มหมดประจำเดือน
โดยประจำเดือนจะไม่สม่ำเสมอมากขึ้นและอาจจะขาดหายเป็นช่วงเวลานานขึ้น
และในที่สุดประจำเดือนจะขาดหายไปอย่างถาวร
ส่วนใหญ่จะเริ่มตอนอายุประมาณ
47 ปี
ประจำเดือนจะเริ่มผิดปกติ
ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีอาการช่วงนี้ประมาณ
4-6 ปี
สำหรับในเพศชายจะมีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็กลงอ้วนลงพุง
ไม่กระฉับกระเฉง อารมณ์แปรปรวนความจำเสื่อมและอาการที่ชายวัยนี้กังวลมากที่สุดคือ
เรื่องการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
และการผลิตฮอร์โมนเพศชายที่สดน้อยลงนี้
ยังมีผลเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนและโรคหัวใจที่สูงขึ้นคล้ายกันกับเพศหญิง
แนวทางป้องกันและแก้ไข
1.) การให้ฮอร์โมนทดแมน
(Hormone replacment therapy) ในเพศหญิง
เนื่องจากช่วง perimenopause และpremenopause
ยังสามารถเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นได้และเป็นช่วงชีวิตที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจ
อันเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมน
estrogen
ดังนั้นการให้ฮอร์โมนทดแทนจะให้ผลประโยชน์หลายประการ
คือ ป้องกันการตั้งครรภ์
ป้องกันหรือบรรเทาภาวะประจำเดือนผิดปกติและไม่สม่ำเสมอ
ภาวะช่องคลอดแห้งและติดเชื้อบ่อย
ซึ่งมักเกิดขึ้นได้บ่อยในช่วงอายุนี้
ป้องกันไม่ให้เกิดโรคกระดูกพรุน
เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
พบว่า
การใช้ฮอร์โมนทดแทนในช่วงก่อนหมดประจำเดือน
ติดต่อกันนานประมาณ 8 ปี
จะทำให้ความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มขึ้นกว่าปกติและยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปถึง
2 ปี หลังหมดประจำเดือนแล้ว
สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
ป้องกันหรือบรรเทาอาการ menopause
และความผิดปกติบางอย่างของช่องคลอดและระบบปัสสาวะที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลานี้
ในเพศชาย
การได้รับฮอร์โมนเสริมจะทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
เพราะการได้รับฮอร์โมนเสริม
จะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น
กระดูกมีความหนาแน่นขึ้น
ป้องกันความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ยังส่งผลให้มีอารมณ์ที่แจ่มใสด้วย
รูปแบบของฮอร์โมนทดแทนที่มีอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับเพศหญิง
1.1.) ชนิดมีเอสโตรเจนเพียงชนิดเดียว
มีทั้งชนิดรับประทาน
ฝังใต้ผิวหนัง แปะบนผิวหนัง
ครีมและเจลทาบริเวณผิวหนังหรือช่องคลอด
1.2.) โปรเจนเตอโรนเพียงชนิดเดียว
ใช้ป้องกันมะเร็งของเยื่อบุมดลูกในสตรีที่ร่างกายยังสามารถสร้างเอสโตรเจนได้เพียงพอ
1.3.) ชนิดที่มีเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
นิยมให้แบบรอบเดือน
โดยแต่ละเม็ดจะมีปริมาณฮอร์โมนไม่เท่ากัน
ซึ่งส่วนใหญ่จะมีปริมาณฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงเลียนแบบลักษณะการเปลี่ยนแปลงปริมาณฮอร์โมนที่มีอยู่ในร่างกาย
สำหรับเพศชาย
ชนิดที่มีฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนอยู่ในรูปเกลือต่างกัน
มีทั้งชนิดรับประทาน เจลทาภายนอกและชนิดฉีด
2.)
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
อาหารที่มีปริมาณแคลเซี่ยมสูง
เช่น ปลาเล็กปลาน้อย
ผักสีเขียว ถั่งเหลือง
โยเกิร์ต นมและนมผง ถั่วต่าง
ๆ
เนื่องจากภาวะหมดประจำเดือนทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(estrogen)
ลดลง
ในเพศหญิงและในเพศชายวัยทองจะมีฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน
(testosterone) ลดลง
ซึ่งผลของการขาดทำให้ปริมาณการดูดซึมแคลเซียมลดลงและร่างกายจะสลายแคลเซี่ยมที่กระดูกออกมาใช้แทน
จึงทำให้เกิดภาวะกระดูกกร่อนขึ้นได้
ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซี่ยมและแคลเซี่ยมในรูปแบบต่าง
ๆ
ที่สามารถเลือกซื้อเพื่อเสริมปริมาณแคลเซี่ยมในร่างกายให้มากขึ้นอีกด้วย
3.)
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
การดื่มสุรา ชา และกาแฟ
4.)
หมั่นออกกำลังกายแบบเบา ๆ
เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง เดินเร็ว
ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิคและอื่น
ๆ
เป็นประจำอย่างน้อยวันละประมาณ
15-30 นาที
5.) ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง
อย่างวิตกกับอาการที่เกิดขึ้นและควรพักผ่อนร่างกายให้เพียงพอ
ในภาวะวัยทองนี้ทำให้ผู้หญิงและผู้ชายมีอาการหงุดหงิด เศร้า ฉุนเฉียว โกธรง่าย ดังนั้นผู้ใกล้ชิดควรให้กำลังใจและเข้าใจในภาวะที่เกิดขึ้น จะทำให้ผู้ที่อยู่ในภาวะนี้มีภาวะจิตใจที่ดีขึ้นมากทีเดียว