ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 16ก.ค.50

 

มีเวลาวิ่งทั้งชีวิต  จะรีบร้อนไปไย?

โดย   กฤตย์  ทองคง

 

               เมื่อครั้งผู้เขียน   อ่านงานของนายแพทย์อุดมศิลป์  ศรีแสงนาม  เรื่อง  “วิ่งสู่วิถีชีวิตใหม่”  เมื่อหลายปีก่อน   ที่ภายในหนังสือนั้นได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการวิ่งมากมาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ตั้งใจจะหัดวิ่งน่าสนใจอยู่   และบอกหนทางที่จะเริ่มออกกำลังกาย  จากเริ่มที่เดินก่อน   แสดงเป็นขั้นตอน   ผ่านการค่อยๆเขยิบจากปริมาณที่น้อยไปสู่จำนวนที่มากขึ้น   และผ่านจากการออกกำลังที่มีความเข้มข้นน้อยไปสู่ความเข้มข้นมากคือ  วิ่งเหยาะ   ในคาบระยะเวลาที่นานหลายเดือน

 

               ตอนนั้นผู้เขียนมีความเห็นว่า  แผนที่คุณหมออุดมศิลป์ให้ไว้   เป็นแบบแผนฝึกวิ่งที่เบาเกินไปแม้จะกระทั่งนักวิ่งหน้าใหม่โดยทั่วไป   ที่จากประสบการณ์ของตัวเองในการวิ่งครั้งแรกก็วิ่งเลยและเข้าสู่จิตใจที่กระหายทำความเร็วภายในไม่กี่วัน   จึงเห็นว่าสมควรจะวิ่งให้เข้มข้นกว่าที่คุณหมอให้ไว้

 

               แต่หลายปีผ่านมา   กับประสบการณ์ที่มากขึ้น  ทั้งจากของตนเองและของผู้อื่น   และยังได้รับความรู้เพิ่มเติมจากหนังสืออีกหลายเล่ม   จึงต้องสรุปความรู้ตัวเองใหม่ว่า

 

               แผนเตรียมตัวเพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยวิ่งหรือออกกำลังกายมากก่อนของนายแพทย์อุดมศิลป์เป็นแผนชั้นยอด  ที่ปูพื้นกิจกรรมทางร่างกายที่มีเป้าหมายมิให้ผู้ฝึกได้รับแรงเครียดจากกระดูกที่กระแทก  และกล้ามเนื้อที่ใช้งานหนักอย่างดีมาก

 

               ความเป็นจริง   ร่างกายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ตรงที่   เป็นองคาพยพที่มีความสามารถปรับตัวได้สูงมากเพื่อให้เข้าได้กับสิ่งแวดล้อมจากโลกภายนอกที่ไม่แน่นอน   การที่ร่างกายรับงานหนักที่เกินสภาพไปบ้าง   ร่างกายก็ยังไม่ถึงกับแตกดับไปเสียก่อน   งานหนักที่มากขึ้นอีก  ก็อาจยังรับได้อยู่   ไม่ใช่จะเดี้ยงลงไปในทันที  ต้องให้หนักจริงๆอย่างเกินระดับและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง  มันจึงเข้าสู่โซนอันตราย  และเดี้ยงในที่สุด

 

               การที่คนเราเริ่มออกกำลังกายที่หนัก   อย่างผู้เขียนที่วิ่งครั้งแรกในชีวิตก็วิ่งเลย  ไม่มีเดิน  ไม่มียืดเส้น  ไม่มีวอร์ม  ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้อ่านหนังสือหรือมีความรู้เกี่ยวกับการวิ่งใดๆ   และยังไปไกลตั้ง  3  กิโล  แล้วเพียง 2 – 3 วันก็ไถลพรืดไป  2  เท่า  เป็น  6  โล  เดี๋ยวนี้นึกแล้วตกใจ   เราไม่เดี้ยงไปตั้งแต่คราวนั้นก็บุญแล้ว  กับการวิ่งเมื่ออายุใกล้  40 ปี (ขณะนั้น)  และแต่ไหนแต่ไรก็มีวิถีชีวิตแบบ  Quite Sedentarian  มาตลอด

 

               ทุกวันนี้มาวิเคราะห์ย้อนหลัง   จึงตระหนักว่า  ณ โมงยามแรกๆของชีวิตวิ่งตัวเอง   หารู้ไม่ถึงความเสี่ยงบาดเจ็บที่เพิ่มมากอย่างไม่รู้ตัว   ความรู้สึกเมื่อยล้าในการวิ่งออกกำลังกายของตัวเองจนตึงเปรี้ยะที่ขาของเรานั้น   มันอาจจะทำให้เกิดอะไรขึ้นได้ทุกเมื่อ  และความโง่เขลาที่ผสมปนเปกับจิตใจที่หาญกล้า แม้เรียกเสียสวยหรู  อันที่จริงต้องเรียกมันว่า  “บ้าบิ่น”  ต่างหาก  อาจทำให้เราหมดอนาคตไปเมื่อไรก็ได้ทุกวันนี้ผ่านตรงนั้นมาได้อย่างไร  ต้องเรียกว่า  โชคดีไม่น้อย

 

               ผู้เขียนมองมายังพวกเรา   ที่อาจเพิ่งเข้ามาวิ่ง  หรือเพิ่งมาฝึก   อยากจะบอกเตือนให้เห็นความสำคัญกับการค่อยๆประจงเขยิบเพิ่มความเข้มข้น   ความหนักของแผนฝึกอย่างระมัดระวัง  (Gradually increase)  ด้วยการหลบหนีแรง  Stress  กับร่างกายให้เจอน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้   เป็นการเซฟร่างกายไว้   มาวิ่งเพื่อสุขภาพ  ไม่ใช่ทำลายสุขภาพ

 

               ต้องเข้าใจว่า   การวิ่งนี้   มันเป็นชนิดการออกกำลังกายที่ยังประโยชน์ในการเผาผลาญแคลลอรี่สูงมาก   เป็นการฝึกสร้างมวลกระดูกให้หนาแน่นอย่างดีเยี่ยม   เมื่อเทียบกับกีฬาอื่นๆชนิดที่ใกล้เคียงกัน   และเพราะเป็นอย่างนี้เองมันจึงถูกนับเนื่องว่าเป็นกีฬาที่มีความเสี่ยงมากขึ้นด้วย   ไม่ใช่เสี่ยงแบบมวยที่ถูกต่อยหัวบ่อยจนพิการแบบอาลี  ไม่ใช่เสี่ยงจักรยานล้มคว่ำถลอกปอกเปิกแบบเด็กวัยรุ่น   แต่เป็นความเสี่ยงที่ร่างกายจะเผชิญความเครียดล้าที่สะสมจนกระทั่งพัฒนาเป็นความบาดเจ็บในรูปแบบหนึ่งใดเสมอ

 

               ดังนั้น   เพราะเจอมาก่อนเอง  และเห็นเพื่อนๆม้วนเสื่อเลิกวิ่งไปแล้วไม่รู้กี่ราย  จึงขอบอกว่าไม่ว่าเราจะมีพื้นทางกีฬามาแต่เด็กก็ตาม  ตราบที่ยังมีอายุราชการวิ่งไม่มากนัก  ให้ระวังการปรับเพิ่มปริมาณความเข้ม  ด้วยการใช้เวลาที่มีอยู่ให้เต็มที่   ก็เรามีเวลาวิ่งทั้งชีวิต  (ถ้าคุณเลือกที่จะวิ่งตลอดไป)   จะไปรีบเร่งรัดอะไรหนักหนา   จะรีบไปไหนกัน   การเติบโตอย่างช้าๆ  ค่อยเป็นค่อยไป   มันมิได้เป็นการเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์  แต่เวลาที่เสียไปนั้นกลับแลกเปลี่ยนมาเป็นความแน่นหนาขององคาพยพทุกภาคส่วนที่จะเป็นพื้นฐานปกป้องบาดเจ็บที่เผลอหนักไปโดยไม่รู้ตัว  และเข้าสู่ปริมณฑลการฝึกชั้นสูงในอนาคตได้อย่างน่าไว้วางใจ

 

               กระทั่งนักวิ่งผู้มีประสบการณ์   วิ่งมานานก็หลายปีแล้ว   ก็จะยังได้ประโยชน์จากการหมั่นกลับมาทบทวนเบสิคของสรีระวิทยาการออกกำลังกายในเรื่อง  Gradually increase  ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง   ตราบใดที่คุณยังปรารถนาการฝึกให้ฝีเท้าพัฒนาขึ้น   เราจำต้องย้ำเน้นหลักการนี้ให้ขึ้นใจเสมอ

 

               ดังนั้น  ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนนักวิ่งหน้าใหม่หรือสหายวงการหน้าเก่า   ตราบใดที่อยู่ในวงการวิ่ง   เราย่อมต้องตระหนักในระดับของตนเองที่จะรับความเข้มข้นได้ที่เพดานขนาดไหน   และพัฒนาจากตรงนั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นประจำ

 

               นอกจากจะใช้องค์ความรู้กับตัวเองแล้ว   ยังอาจจะได้ไปแนะนำให้ผู้มาใหม่  เข้าใจในหลักการเหล่านี้   อย่างรวดเร็ว   ก่อนที่พวกเขาจะก้าวพลาดพลั้งบาดเจ็บเสียก่อนด้วยความรู้ไม่ถึงการณ์   ถือว่าเราได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อวงการ    วิ่งมานาน สมควรที่จะรู้ประสาบ้าง  ไม่ใช่ยุน้องๆให้อัดคอร์ทตาม เพื่อเปรอปรนอัตตาให้เห็นความเก่งกาจของตัว

 

               ประสบการณ์ขับรถมานานหลายปี   ไม่ใช่เพียงแค่ยืนยันจากยอดอุบัติเหตุในประวัติการขับขี่เท่านั้น   แต่จากความรู้ความชำนาญที่มี  และประกอบกับบุคลิกใจคอกว้างขวางแบ่งปันความรู้นั้น  จนมีผลให้ผู้อื่นยังประโยชน์ได้อีกโสตหนึ่ง   ถึงน่าจะได้ชื่อว่านักขับมือทองตัวจริง

 

               เช่นเดียวกับ   การวิ่งได้เร็ว  วิ่งเก่ง   ย่อมจะทรงความหมายที่แตกต่างจากสุภาพบุรุษนักวิ่งก็ตรงนี้เอง

  

11:40  น.

21  กันยายน  2549