จากเด็กนาฏศิลป์สู่นักวิ่ง
โดย...โจ๋ -สถิตาภรณ์
เป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะที่ได้เล่าประสบการณ์ในการวิ่งให้เพื่อน ๆ ชาวเว็บไซด์ได้อ่าน เริ่มทีเดียวถ้าพูดถึงการออกกำลังกาย โจ๋ไม่เคยสัมผัสหรอกค่ะ เพราะกลัวความเหนื่อยเป็นที่สุด(รักความสบายว่างั้นเถอะ)แต่เรื่องมันมีอยู่ว่าโจ๋ เริ่มจะรู้สึกตัวเองว่าทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็เหนื่อยง่าย เดี๋ยวหน้ามืด,เดี๋ยวจะเป็นลมจึงต้องปฏิวัติตัวเองเป็นการใหญ่ พอดีเห็นเพื่อน ๆ ที่ทำงานไปวิ่งตอนเย็นหลังเลิกงานก็เลยลองตามไปวิ่งด้วย พอเริ่มวิ่งในตอนแรก วิ่งได้แค่1กม.ก็แทบคลานแล้วค่ะบอกแล้วไงค่ะว่าไม่เคยออกกำลังกายเลยก็ท้ออยู่หลายครั้งเหมือนกัน ดีว่าพวกเพื่อน ๆ ช่วยกันดึงให้ไปวิ่งทุกวันจนตอนหลังถ้าวันไหนไม่ได้วิ่งนี่จะรู้สึกอึดอัดตัวเองมาก ๆ ค่ะ เหมือนเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง(แต่เป็นยาเสพติดที่น่าลองนะคะ) และที่แปลกก็คือติดง่ายแต่หายยาก เพื่อน ๆ ลองหยุดวิ่งซัก 1 อาทิตย์ซิค่ะ พอมาเริ่มใหม่ แหม มันทรมานน่าดูเลยหล่ะ หลังจากที่วิ่งกับเพื่อน ๆ ซักพักหนึ่งชักอยากลองไปวิ่งมินิมาราธอน บ้างแล้วค่ะ งานแรกคือ UN.1998คนเยอะมาก ๆ พอเข้าไปสัมผัสบรรยากาศในงานรู้สึกใจมันหึกเหิมยังไงบอกไม่ถูกคิดในใจว่าเราก็ไม่ธรรมดานะได้มาวิ่งในงานที่ INTER เหมือนกัน แต่ขอสารภาพค่ะว่าโจ๋แอบพกยาดมติดตัวไปด้วย เพราะไม่เคยวิ่งไกลขนาดนี้เลย ที่สำคัญกลัวเข้าเส้นชัยเป็นคนสุดท้ายค่ะ เวลาที่รู้สึกเหนื่อยก็จะพูดกับตัวเองว่า ถ้าเราวิ่งสำเร็จ เรื่องอื่น ๆ ก็ง่ายนิดเดียวเอง ใครที่เคยวิ่งคงจะรู้สึกภูมิใจเหมือนที่โจ๋เป็น หลังจากผ่านการวิ่งมินิฯมาประมาณ 10 ครั้ง โจ๋หยุดไปประมาณ 1 ปี ค่ะเพิ่งมาเริ่มซ้อมเมื่อ 2 เดือนนี่เอง และก็ซ้อม ๆ หยุด ๆ แต่ก่อนนอนจะพยายามบริหารขาให้มากที่สุด เช่น ปั่นจักรยานกลางอากาศ,ยกขาขึ้น-ลง บ่อย ๆ ช่วงที่ทำงานพยายามเดินขึ้นบันไดโดยไม่ใช้ลิฟท์,เดินไปติดต่อส่วนงานอื่นด้วยตนเองไม่ใช้เด็ก ๆ (เป็น เลขาฯ ค่ะ) ฯลฯ ที่ต้องทำอย่างนี้ เพราะว่าไม่ค่อยมีเวลาซ้อมทำให้เวลาไปวิ่งไม่รู้สึกปวดเมื่อยอะไร เพราะขาเรามันชินแล้ว ทีนี้โจ๋ก็เลยไปสมัครวิ่ง ไทย-ซิกข์ ค่ะ ก็ตื่นเต้นไม่แพ้ตอนแรก เพราะหยุดไปนานทีเดียว แต่ใจมันรักไงค่ะ ก็มีเพื่อน ๆ มาชวนให้ไป ว่ายน้ำ,ตีแบด,ตีเทนนิส อยู่เหมือนกัน แต่โจ๋คิดว่าวิ่งนี่แหล่ะค่ะดีที่สุด และก็ประหยัดด้วย มีรองเท้าผ้าใบคู่เดียวก็วิ่งได้แล้ว และมีเพื่อนเยอะดี โจ๋ไม่เคยเห็นเขามีงาน ว่ายน้ำมินิมาราธอน ที่มีคนเป็นพัน ๆ คนไปว่ายน้ำด้วยกันเลย ตอนนี้โจ๋ฉันพยายามที่จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆก็เลยไปสมัครวิ่ง ซุปเปอร์มินิมาราธอน(14 กม.)ในงาน"นาฎศิลป์ลอยฟ้า" ซึ่งแข่งขันกันในวันที่ 20 มกราคม 2545 ที่ผ่านมานี้เอง วิ่งบนทางคู่ขนานบรมราชชนนี ถ้าใครวิ่งแล้วเปลี่ยนใจไม่ได้นะ เพราะไม่รู้จะลงมาข้างล่างยังไงก็ต้องวิ่งให้มันจบหล่ะ แหม...คนจัดงานเข้าใจคิดดีนะ ก่อนวันงานโจ๋ก็ไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกันมันคงแปลก ๆ และก็คงวังเวงยังไงไม่รู้ไปวิ่งบนสะพานสูง ๆ แต่โจ๋ชอบคิดค่ะว่า คนอื่นทำได้ โจ๋ก็ต้องทำได้ สาเหตุที่อยากไปงานนี้ก็เพราะเป็นศิษย์เก่าด้วย ถึงแม้รู้ว่าจะต้องเหนื่อยแต่เพื่อสถาบันค่ะพอถึงวันงาน แหม! โจ๋รู้สึกปลื้มใจมากค่ะ เพราะงานนี้จัดเป็นครั้งแรกแต่ก็มีคนสนใจมาวิ่งพอๆกับงานไทยซิกข์ ทีเดียว และที่แปลกกว่างานอื่นก็คือ มีการแสดงให้ชมตลอดงานเลย ก่อนออกสตาร์ทเจ้าหน้าที่ประกาศว่า ระยะทางในวันนี้ประมาณ 16 ก.ม. โจ๋แทบล้มทั้งยืนก็ขนาดเตรียมตัวเตรียมใจมาวิ่งตั้ง 14 กิโล โจ๋ยังคิดแล้วคิดอีก นึกถึงพระพิฆเนศ โดยขอพรจากท่านให้โจ๋วิ่งได้ครบระยะทางด้วยเถิด (ต้องเล่นของแล้วงานนี้) หลังจากปล่อยตัว พอโจ๋วิ่งได้ประมาณ ก.ม.ที่ 7 คนที่นำมาที่ 1 ก็สวนทางกับโจ๋แล้วล่ะ เป็นน้องผู้ชายอายุไม่น่าเกิน 20 ปี ดูทีท่าแล้วไม่เห็นว่าจะเหนื่อยซักนิด ส่วนตัวโจ๋ก็อยู่ที่ระดับกลางๆ ไม่ได้รั้งท้ายอะไรพยายามหายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก หายใจออกทางปาก นี่เป็นเคล็ดลับเฉพาะตัว แต่งานนี้มีหยุดเดินบ้างตอนช่วงที่ขึ้นสะพานพระปิ่น ฯ (ขากลับ) และแล้วโจ๋ก็เข้าเส้นชัยด้วยเวลาประมาณ 1ชั่วโมงครึ่ง พอพักดื่มน้ำแล้วสักพัก ก็มาให้กำลังใจเพื่อนๆ ข้างจุดเส้นชัย รอจนถึงคนที่เข้าสุดท้าย เป็นคุณลุงที่เป็นอัมพฤกษ์ ข้างซ้ายทั้งแขนและขา โจ๋น้ำตาซึมเลยค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าแกจะใช้ขาข้างเดียววิ่งมาได้จนถึง 16 กิโล ทุกคนปรบมือให้ดังสนั่น เห็นแล้วใจมันก็อึดขึ้นมาเลย ต่อไป โจ๋ต้องพยายามวิ่งในระดับฮาล์ฟมาราธอน (20 ก.ม) ให้ได้ค่ะ เพื่อนๆ คอยให้กำลังใจโจ๋ด้วยนะคะ
|