ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.49

 

วิ่ย่าห้ยั่ยื

โดย   กฤตย์  ทองคง

 

               แม้จะมีคำกล่าวอยู่ว่า  นักวิ่งมีอยู่ สองประเภท  คือ  พวกที่เคยบาดเจ็บแล้วหนึ่งกับพวกที่กำลังจะเคยบาดเจ็บอีกหนึ่ง    แต่อย่างไรก็ตาม  ความบาดเจ็บจากการวิ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอยู่นั่นเอง  กล่าวคือ  เกือบร้อยละร้อยที่เราสามารถป้องกันได้ และสามารถหลีกเลี่ยงได้แน่นอน

 

               พูดอีกอย่างได้ว่า  กว่าจะเป็นนักวิ่งผู้มีประสบการณ์ได้  ก็ไม่จำเป็นต้องก่อร่างสร้างสานจากประสบการณ์บาดเจ็บมาอย่างโชกโชน  ที่นักวิ่งรุ่นพี่ๆบอกได้แต่ว่า  ความฉลาดเฉลียวและสามัญสำนึกแบบธรรมดาก็จะมีส่วนช่วยที่จะดูดซับปริมาณและระดับความร้ายแรงได้เกือบหมดสิ้น

 

               จริงอยู่  เป็นไปไม่ได้ที่เราจะขับรถจนเชี่ยวชาญโดยไม่เคยประสบอุบัติเหตุเลย  แต่เป็นไปได้ที่จะเป็นนักขับมือทองที่มีระเบียนบันทึกประวัติอุบัติเหตุจำนวนน้อยมากได้

 

               ข้อถกเถียงที่น่ารับฟัง  ก็จะเป็นในทำนองที่ว่า  แล้วเราจะเรียนรู้ความผิดพลาดจำนวนมาก  เพื่อสรุปบทเรียนครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร  ถ้าเรามีประสบการณ์ผิดพลาดน้อย  คำตอบก็คือ  บทเรียนจากผู้อื่นไงครับ

 

               ที่นักวิ่งจะต้องพัฒนาให้มีขึ้น  คือบุคลิก ถ่างหู ถ่างตา  ตัวเองอยู่ตลอดเวลา  ที่จะสดับรับฟังประสบการณ์ของผู้อื่นว่า  เขาวิ่งอย่างนี้  เขาฝึกมาอย่างนี้  แล้วเกิดอะไรขึ้นตามมา  ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  ทุกชีวิตล้วนมีบทเรียนที่ผนึกแน่นกับความเป็นตัวของเขา  ดูไปเถิด  พิจารณาให้ดี  ไตร่ตรองให้แยบคาย  แล้วเราจะเห็น  เพื่อเราจะไม่ต้องตามเส้นทางที่เขาเคยเดินอย่างต้อยๆไปเหยียบกับระเบิด  ครั้งแล้ว ครั้งเล่า

 

               พวกเราจะต้องดูแลกันเอง  พวกเราจะต้องเรียนรู้ประสบการณ์จากรุ่นพี่  และเราจะต้องเตือนรุ่นน้อง  หรือนักวิ่งผู้กำลังเข้ามาในวงการใหม่ๆ  ที่แม้เขาอาจจะไม่มาถามเรา  แต่มันเป็นสำนึกพันธกิจที่จำเพาะนักวิ่งชั้นดีเท่านั้นจะไปให้คำชี้แนะและทักท้วง  เท่าที่จะมีความสามารถ

 

               เมื่อกล่าวอย่างถึงที่สุด  นักวิ่งแต่ละคน  ล้วนมีบทบาทที่จะประเทืองวงการให้สูงส่งหรือฉุดรั้งตกต่ำ  ให้ก้าวหน้าหรือล้าหลังได้เสมอ  เรามีความสามารถผลัดกันเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกันได้  ใช่หรือไม่ครับว่า  การสะสมองค์ความรู้ในระดับประชาคมนักวิ่ง  ย่อมบังเกิดพัฒนาขึ้นทีละน้อยจากการถักทอสายใย ของความรู้เรื่องวิ่งจากนักวิ่งปัจเจกหลายๆคนที่พยายามแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นประการสำคัญนั่นเอง

 

               แต่สิ่งที่เราจะสังเกตเห็นได้  จากนักวิ่งบ้านเราเป็นส่วนใหญ่  มักจะยังพอมีมิติรับรู้รับฟังความเห็นจากผู้อื่นอยู่บ้าง  แต่มักจะไม่นิยมบอกต่อ  (รับ แต่ไม่ส่ง) ในข้อสรุปของตนเอง  อาจจะเป็นเพราะหวั่นเกรงข้อหา เสือก  เลยเท่ากับปล่อยให้เพื่อนนักวิ่งผู้ที่ยังไม่รู้ให้งมโข่งต่อไป  หรือเกรงว่าจะ เสียความรู้สึกที่พูดไปแต่เขาไม่นำพา  เตือนแล้วไม่เป็นผล  ที่อาจให้ความหมายว่า เสียหน้า  กระทั่งอาจจะย่ำแย่กว่านี้คือ  ความแล้งน้ำใจ

 

ช่างมึงปะไร

เจ็บก็เรื่องของมึง

ดีซิ  มึงจะได้วิ่งไม่ทันกู  กูจะได้ไม่ต้องเหนื่อยนัก

 

               น่าเสียดายที่แม้เราจะอยู่ในยุคข่าวสารแล้ว  แต่ความไม่ถนอมรักยังแอบแฝงตัวอยู่อย่างเงียบๆใต้กะโหลกหนามาตลอดหลายยุคสมัย

 

               เรื่องอย่างนี้  คนไทยถนัดนัก  ที่พวกเราต้องปลุกตัวเองให้รู้ตื่นและลุกขึ้นไปให้พ้นจากความเคยชินเหล่านี้ด้วยตัวเอง  ที่ในตำราวิ่งต่างประเทศไม่เคยมีบอกไว้

 

สิ่งที่นักวิ่งใหม่ควรทราบ  (และบางที  อาจเป็นนักวิ่งเก่าบางรายด้วย)

 

1)  อุปกรณ์ ต้องเหมาะสม

               ทุกชนิดกีฬา  ต่างต้องการอุปกรณ์ที่เหมาะสมทั้งนั้น  ที่เห็นและเป็นอยู่ก็คือ  ได้ของย่อมเยาในชั้นต้น  ที่คุณภาพย่อมต้องเป็นไปตามราคาเป็นธรรมดา  ต่อเมื่อพัฒนาความสามารถและเอาจริงเอาจังขึ้นมา  เราถึงค่อยไปเลือกเอาของที่มีคุณภาพขึ้นมาใช้  จนกระทั่ง  Turn Pro  เป็นมืออาชีพจึงค่อยหันมาใช้ของเจ๋ง

 

               แต่จำเพาะการวิ่ง  เนื่องจากเป็นกีฬาที่ถูกที่สุด (เท่าที่จะนึกออกตอนนี้)  ดังนั้นผู้เข้ามาวิ่งแรกๆ  ก็ไม่มีความจำเป็นมากนักที่จะต้องไปไต่ระดับจากของราคาย่อมเยาเสมอไป  แม้จะเล่นของท็อป-ควอลิตี้ ทันที  ก็ย่อมไม่เหลือวิสัยกระเป๋าสตางค์จะเอื้อมถึง  โดยไม่เดือดร้อน  เพียงแต่ขอให้ถูกชนิดกับประเภทของเท้าเราก็พอแล้ว  ที่สเต็ปต่อมาก็คือ  ต่อหน้าชั้นวางรองเท้าในร้านขายที่มีวางโชว์เกลื่อนกลาด  ล้วนสวยๆทั้งนั้น  ที่ออกแบบมาโค้งเว้าแปลกๆ  สีสันฉูดฉาด  หลังจากงงอยู่สักระยะหนึ่ง จึงรู้ตัวว่า    กูจะซื้อคู่ไหนดีวะ

 

               สำหรับคำถามเกี่ยวกับเรื่องรองเท้าวิ่งที่ถูกถามบ่อยที่สุด ก็คือ  คู่ไหนดีที่สุด  ถามกันให้ไขว่  คำเฉลยคือ ไม่มีครับ    แต่ละยี่ห้อผลิตรองเท้ามาหลายชนิด  เพื่อสนองตอบหลายเป้าหมาย หลายภารกิจ หลายชนิดของคนใส่ แม้จะเป็นในหมวดกีฬาวิ่งด้วยกัน  ยังมีรองเท้าซ้อม  มีรองเท้าแข่ง  ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งซอยย่อยไปอีกเป็น  รองเท้าวิ่งที่เน้นความนิ่มลดแรงกระแทก  รองเท้าวิ่งที่เน้นการทรงตัว  รองเท้าวิ่งที่เน้นการควบคุมความเคลื่อนไหว  หรือรองเท้าวิ่งที่ตอบสนองผู้ที่มีน้ำหนักมากๆ  เยอะแยะไปหมด  รวมทั้งยังมีชนิดที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่มีรูปแบบชีวกลจำเพาะ  (Bio-Machanical  differ)  ต่างๆหลากหลาย

 

               ที่ผู้เขียนกล่าวอย่างนี้ไป  ผู้อ่านก็จะรู้สึกคล้ายๆกับว่า ยังไม่ได้คำตอบที่ตรงใจ

แล้วกูจะรู้ได้ยังไงเล่าว่า  กูมีชีวกลแบบไหน

               นั่นน่ะซิครับ...ต้องศึกษาดูตัวเองก่อน  อันนี้คงจะต้องเริ่มจากการหาความรู้  คงไม่พ้นการอ่าน  ที่พอจะหาได้จากบทความวิ่งมากมาย  ทั้งของผู้เขียนเองและท่านอื่น  ในเน็ตก็มี  ที่ว่าด้วยธรรมชาติของเท้ามนุษย์เป็นเช่นไร  เมื่อวิ่งเท้ามีแรงขนาดไหนในการกระทบพื้น หนักขนาดไหน  แล้วค่อยจำเพาะลงมา  ทดสอบดูตัวเอง  แต่ละคนจัดเข้าหมวดหมู่ชนิดใด  แล้วจึงไปถึงขั้นหารองเท้าที่เข้ากับความเป็นเท้าของตัวเองภายหลัง

 

               ส่วนชุดวิ่ง และเครื่องเคราประกอบอื่นที่เมื่อเปรียบเทียบกับรองเท้าวิ่งแล้ว  มีความสำคัญที่จัดได้ว่า ไม่ค่อยจำเป็นเลย

 

               ชุดวิ่งที่เหมาะสมกับบ้านเรา  คือชุดวิ่งที่ให้การระบายง่าย  แห้งเร็ว และใส่แล้วเคลื่อนไหวสะดวก  เป็นเสื้อกล้ามเนื้อโปร่ง  หน้าตาก็เป็นแบบที่พวกเราเห็นๆกัน  ที่ไม่ใช่ก็คือ  เสื้อยืดแขนสั้น  เสื้อผ้าร่ม  แขนยาว-ขายาว  ยกฮู้ดปิดหัว  วิ่งแล้วมีเสียงสวบสาบ  หรือเนื้อผ้าวอร์ม  ร้อนระเบิดระเบ้อ  นั่นเป็นของเมืองหนาวครับ

 

               ส่วนนาฬิกา  ที่ต่อเมื่อเริ่มเอาจริงเอาจังค่อยซื้อ  ถ้าเป็นจ็อกเพื่อสุขภาพก็ใช้กะเอาราวครึ่งชั่วโมงได้  ขาดเกินไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย  จะเอาเรือนที่ใช้ตอนทำงานมาก็ได้ไม่มีปัญหา  แต่ถ้าไม่มีอยู่  จะต้องซื้อใช้อยู่แล้ว  นาฬิกาที่นักวิ่งเขาใช้กันอยู่จะต้องประกอบด้วย

 

-  เป็นแบบตัวเลข  ไม่ใช่แบบเข็ม

-  จับเวลาได้  แบบเดินหน้าอย่างเดียว  ถอยหลังไม่ต้องก็ได้

-  เป็นแบบกันน้ำ  100%  ที่แค่จุ่มทิ้งไว้ในกะละมังก็พอแล้ว  ไอ้ที่กันน้ำลึกหลายร้อยเมตรนั่นไม่จำเป็นเลย  และพวกที่บันทึกรอบอีกหลายร้อยรอบวิ่ง  ก็พบว่ามีผู้ใช้จริงๆน้อยมากครับ  แค่ฟังก์ชั่นนาฬิกาที่เล่ามาแค่นี้  มันไม่ได้แพงเลย  แสนถูก  ถ้าจะแพง ก็เป็นที่อิมเมจสินค้าแล้ว

 

               ส่วน  Heart Rate Monitor  และ  GPS  โอ้โฮ  นั่นสุดเดิ้ลเลย  อะไรจะปานนั้น  เกินหน้าผู้เขียนไปหลายก้าว

 

2)  ฝึกอย่างฉลาด

               อย่าฝึกอะไรในวันนี้  ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะฝึกอะไร  ผู้เขียนหมายความว่า  คุณต้องมีแผน  มีตารางวิ่ง  วันนี้ฝึกอะไร  วันหน้าฝึกอะไร  ซึ่งมันจะประกอบกันขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อ  มันมีเป้าหมายวิ่งเสียก่อนว่า  ทุกวันนี้คุณจะวิ่งไปทำไม นั่นคือ

 

               เราอาจจะวิ่งเพื่อสุขภาพ  หรือวิ่งเพื่อแข่งขัน  หรือวิ่งเพื่อแสวงหาความภาคภูมิใจ หรือวิ่งเพื่อเงิน (ซองรางวัล)  ที่แม้บางเป้าหมายจะสามารถไปพร้อมๆกันได้  แต่เราก็ต้องหมายตาลงจุดหลัก  จุดรองไว้  จะได้รู้ว่า  วันคืนที่ผ่านไป  เราได้ทำอะไรบ้าง  ไม่เลื่อนลอยไปกับการผัดวันประกันพรุ่ง  นี่ยังรวมทั้งเป็นการกระตุ้นการจัดการอะไรบางอย่าง เช่น  การที่ยังไม่รู้ประเด็นใดประเด็นหนึ่ง  ทำไงจะได้รู้  จะต้องไปถามใคร  นี่ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว  ยังไม่มีอะไรคืบหน้า  ถ้าหากเราไม่รู้เรื่องนั้นแล้ว  เราจะดีไซน์สูตรฝึกได้อย่างไรกัน  ดังนั้นเพื่อประสิทธิภาพของการวิ่ง  เราจะต้องใส่เงื่อนไขเวลาลงไปในตารางด้วย

 

               เมื่อกล่าวถึงตารางวิ่ง  ให้บันทึกลงไปให้ละเอียดด้วยว่า ข้างหน้าจะฝึกอะไร (ให้ลงดินสอไว้ จะได้ลบได้)  เมื่อฝึกแล้วมันกลายเป็นอดีต  ที่เรากลับมาบันทึกใหม่ให้เป็นตัวหมึกว่า  ได้ฝึกอะไรไปจริงๆ  บ่อยครั้งที่สิ่งแวดล้อมมันพาเราคลาดเคลื่อนไป

 

               ดูไปเถิด  นักวิ่งที่ยิ่งเอาจริงเอาจังเท่าไร  เป็นผู้มีฝีเท้าหรือมากประสบการณ์เท่าไร  จะพบว่าพวกเขามีตารางวิ่ง  ที่จำเพาะเจาะจงมากเป็นเงาตามตัวเท่านั้น  พวกเขามีความสามารถที่จะย้อนหลังมาดูได้ตลอดเวลาว่า  ณ  ช่วงกลางปีที่แล้ว  เขาวิ่งอะไรบ้าง  ทั้งฝึกและแข่ง  และระดับความสามารถขณะนั้น เป็นอย่างไร

 

               ความละเอียดของแผนตารางฝึกวิ่ง  ที่โดยทฤษฎีบอกว่า  ยิ่งละเอียดยิ่งดี  แต่ในทางปฏิบัติ  เราบันทึกแค่พออ่านย้อนหลังให้ผู้วิ่งสามารถ  Recall  ได้แจ่มแจ้งว่า  ตัวเขาได้ไปทำอะไรมาถึงได้บาดเจ็บอย่างนั้น  หรือที่ฝีเท้าขึ้นมาได้จนทุกวันนี้  เขามีแผนฝึกเป็นอย่างไร  ส่วนใครที่จะบันทึกละเอียดกว่านั้น ก็ไม่เป็นปัญหา  แต่เห็นสมควรให้มีกันทุกคน  แม้กระทั่งวิ่งเพื่อสุขภาพ

 

               การฝึกอย่างฉลาด  ยังรวมหมายถึงการใช้สามัญสำนึกธรรมดา  ที่มันจะบอกว่าอย่างนั้นไม่ควรทำ  อย่างนี้ควรทำบ่อยๆ  ลองดูเช่นตัวอย่างดังนี้

 

1)      เรายังละอ่อนประสบการณ์มีอายุวิ่งไม่กี่เดือนเอง  ไม่ควรพัฒนาฝีเท้าให้หนัก  ให้เร็ว  ทาบคนนั้น-คนนี้ที่เขาวิ่งมาตั้งนานแล้ว  ไม่ใช่เพราะโซตัส น้องใหม่  รุ่นพี่ แต่เพราะร่างกายผู้วิ่งนั่นแหละจะรับไม่ไหว  และอาจบาดเจ็บ  เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  เรายังจะวิ่งกันได้อยู่หรือไม่ในอนาคต  ก็อยู่ที่ตรงนี้เอง  การเพิ่งหัดขับรถเป็นแล้ว  ไม่ใช่จะมาลงฟอร์มูล่าวันได้เลยเป็นอันขาด

 

2)      การมาถึงสถานที่ฝึกซ้อมแล้ว  ออกวิ่งเลย  โดยปราศจากการอุ่นเครื่องและกระบวนการเตรียมความพร้อมอย่างอื่นเสียก่อน  ขนาดรถยนต์  นักขับที่ดียังต้องสตาร์ททิ้งไว้พักหนึ่งก่อนล้อหมุน  สิ่งนี้เมื่อพอเป็นตัวเป็นตนของเรายิ่งสำคัญกว่า

 

3)      ไม่ว่าจะทำอะไร  เราก็ต้องการความรู้และความเอาใจใส่ทั้งนั้น  การลงมือพรวดพราดไปโดยปราศจากความระมัดระวัง  ก็อาจผิดพลาดเสียหายร้ายแรงได้  กระทั่งเรื่องง่ายๆอย่างการข้ามถนน  ประมาทแค่กระพริบตา  อาจสิ้นชีพเลย  เมื่อกล่าวได้อย่างนี้  การงานการอดิเรกอื่นๆ ก็ต้องแสวงหาความรู้เพื่อจะได้เป็นพื้นฐานให้กับความพากเพียรที่เราลงมือทำไปไม่สูญเปล่า  มีแต่เพียรแต่ไม่รู้ เหมือนขยันแต่โง่  ที่เหมือนกับเรื่องวิ่ง  ไม่ควรสักแต่จะวิ่งเอาเลย  อย่าดูเบาว่าการวิ่งเป็นเพียงการสาวเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้าอีกข้าง  และสลับกันไปมาเท่านั้น  ยิ่งเราเป็นนักวิ่งที่มีประสบการณ์นานเท่าไร  เราจะยิ่งมหัศจรรย์ใจว่า  กะแค่เรื่องวิ่งนี้  ช่างอุดมด้วยเรื่องราวอะไรที่มากมายที่เรียนกันไม่รู้จักจบ  ที่ว่าลึกว่ากว้างแล้ว  มันก็ยังมีที่ลึกลงไปสุดหยั่งคาด  ดูเอาเถิด  บทความของผู้เขียนก็ว่าเยอะแล้ว  ก็ยังมีของผู้อื่นอีก  ไหนจะยังเว็บต่างประเทศอีกเป็นสิบๆ  อะไรมันจะมากมายหลากหลายแง่มุมขนาดนั้น  มีเรื่องที่ต้องให้เขียนให้อ่านอีกมาก  ทั้งข้างหน้าที่ยังไม่รู้  และทั้งที่ตกหล่นลืมไป  ต้อง  Back to the basic  อีกมิรู้เท่าไร  ดังนั้นเราต้องอ่านตลอด  เผลอไม่ได้  จะตกยุคโดยไม่รู้ตัว

 

 

3)  หาเส้นแดงของตัวเองให้พบ

               ที่ตัวเราเท่านั้นที่ต้องเป็นพระเอกเอาการเอางาน  คนอื่นเขาจะมารู้ดีกว่าตัวเราได้อย่างไร  ก็โดยการลองถูกลองผิดไง  และใช้สามัญสำนึกหว่านโปรยเจือลงไป  ให้มันถูกมากกว่าผิด  ที่ถ้านักวิ่งไม่ทึบจนเกินไป  เขาย่อมจะตระหนักว่า  ลิมิตของตัวเขาเองอยู่ตรงไหน  ที่เกินไปกว่านั้นจะโอเวอร์เทรนหรือบาดเจ็บ  (โยนิโสมนสิการ)

 

               พร้อมๆกันนั้น  ความรู้ภายนอกที่เราแสวงหาเข้ามาจะช่วยขยายประสบการณ์ลองผิดลองถูกนั้นให้แน่ใจยิ่งขึ้น  หรืออาจจะเป็นการเตือนให้รู้ว่าที่ผ่านมา  เราผิดทาง  จะได้ทบทวน  ตะล่อมให้เข้าถูกที่และปลอดภัย  (ปรโตโฆษะ)

 

               ย้อนกลับมาที่เรื่องเส้นแดง  ที่เมื่อเราหาเส้นแดงของตัวเองพบแล้ว  เราก็จะรู้ตำแหน่งแหล่งที่ตัวเองจะได้ฝึก  ได้เล่น  ได้แข่ง  อยู่ Somewhere  ใต้เส้นแดงนั้น

 

               แต่เมื่อผ่านการยกระดับการรับรู้ทั้งภายในที่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ  กับความรู้ภายนอกที่เราแสวงหาอย่างสม่ำเสมอจากกัลยาณมิตรต่างๆ  เราอาจพบว่า  บางครั้งบางคราว  เราอาจ ไปท่องเที่ยวนอกจักรวาล  ด้วยการเหาะเหินเดินอากาศ  เหนือเส้นลิมิตแดงของตัวเองชั่วขณะ  เพื่อจะได้รู้ว่า  โลกข้างนอกนั้นเป็นอย่างไร  เพื่อจะให้ตัวของเราลิ้มรสชาติของการพัฒนา และ กระตุ้นต่อมจินตนาการให้เพริศแพร้ว  ขอขีดเส้นใต้  ชั่วขณะ  แล้วก็กลับมายังถิ่นฐานบ้านช่องตัวเองใต้เส้นแดง  ก้มหน้าก้มตาฝึกวิ่งกันต่อไป  ที่ไม่ว่าทางช้างเผือกที่ไปเห็นมาจะเพริศแพร้วขนาดไหน  เราย่อมต้องคุมกำเนิดความใฝ่ฝันมิให้เตลิดเปิดเปิงมากนัก  แม้วิตามินจะเป็นเม็ดอุดมแต่หากสวาปามเข้าเยอะเกินขนาดย่อมมีพิษร้ายและเป็นภัยได้เสมอ

 

4)  พิจารณามิติเรื่องการขาดซ้อม  อย่างเป็นภาพรวม

               โลกมันมีสองด้านครับ  ที่ด้านแรก  ความเป็นจริงบอกเราว่า  การซ้อมนั้นสำคัญมาก  จงต่อเนื่องแผนซ้อมอย่างเคร่งครัด  การที่จะพัฒนาไปได้ด้วยดีก็ต่อเมื่อขยันฝึก  ไม่เหนื่อยหน่ายและท้อถอย  แต่ในอีกด้านหนึ่ง  คือความรู้จักการยืดหยุ่นปรับตัวและปรับแผนฝึกวิ่ง  ให้สอดรับกับสถานการณ์แวดล้อมอื่นๆรอบตัวเรา  อย่าลืมว่าตัวเราไม่สามารถจะวิ่งๆๆๆๆ   เท่านั้น  แต่มีงาน , เมีย , ลูก , ครอบครัว , เพื่อนและนาย  ที่พวกนี้ยังประกอบไปด้วยดาวบริวาร คือ ความคาดหวังต่างๆอีกร้อยแปดพันประการ  ดังนั้นเราจะต้องจัดการรูปแบบและองศาความสัมพันธ์กับปัจจัยเหล่านี้  อย่างเป็นพลวัตร

 

               การเกาะติดประเด็นใดประเด็นหนึ่งอย่างเหนียวแน่นจนเกินไป  ให้ระวังว่าจะไม่ต่างจากคนดื้อรั้น , เผด็จการ และโหดร้ายต่อตัวเองและตัวละครเหล่านั้น  ถ้าเป็นเช่นนั้นโซลูชั่นสุดท้ายมันก็จะไม่เอื้อให้คุณประสบความสำเร็จใดๆได้เลย

 

               ให้พวกเราสังเกต ราวหลอดไฟที่แขวนพาดโยงอยู่ตามแนวรั้วของสถานที่ราชการในวันสำคัญ เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา  ที่แต่ละระยะที่แน่นอนจะมีหลอดไฟอยู่หลอดหนึ่งเสมอ เป็นระยะที่ตายตัว  เวลาเสียบปลั๊กไฟฟ้า  จะสว่างพรึบสวยงามเป็นระเบียบ  แต่ลองดูให้ดี  มันจะมิเป็นเช่นนั้นเสมอไป  ด้วยว่าหลอดไฟบางหลอด  แม้จะมีอยู่แต่ไม่สว่าง  อาจจะเป็นเพราะหลอดขาดหรืออะไรก็แล้วแต่  บางทีหลอดก็หายไปเฉยๆ เหลือแต่จุ๊บขั้ว  ต่อเมื่อเราถอยห่างออกไปมองจากระยะไกล  เราจะไม่เห็นข้อบกพร่องเหล่านั้น  มันยังดูรักษาความเป็นแนวและระเบียบของมันอยู่

 

               ในความเป็นระเบียบนั้น  เรามักจะเห็นภาวะไร้ระเบียบคู่ขนานไปเสมอ  ในความสว่างไสว  เราจะพบความมืดมนเจือปนอยู่ร่ำไป  ในความฉลาดเฉลียวจะพบความโง่เขลาแอบซ่อนอยู่เป็นประจำ  ไม่เว้นแม้กระทั่งในความรักที่คิวปิดเทวดาน้อยไม่เคยละวางคันธนูเอาเลย

 

               ข้อใหญ่ใจความก็คือ  เราจะอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์ที่แหว่งโหว่ขาดหายและ  Non-Perfect  นี้ได้อย่างไร

 

               ค่อยๆมองไป  และทำความเข้าใจกับโลกและชีวิตว่าเราควรพากเพียรใช้ความมานะพยายามไปกับการรักษาความเป็น  Pattern  ของมันมากกว่าความสมบูรณ์พร้อม  นี้ย่อมจะทำให้  เราไปกับแผนฝึกได้อย่างปราศจากแรงเสียดทานมากนัก  และเมื่อมีแรงเสียดทานต่ำกว่า  นักวิ่งก็ย่อมประสบความสำเร็จมากกว่านั่นเองครับ  อย่างนี้ ถ้ามีหัว เรายังเอาไปปรับใช้กับแง่มุมอื่นๆของชีวิตได้อีกด้วย

 

               ขอลงตัวอย่างรูปธรรม สักเรื่องหนึ่งก็คือ

 

               ให้พยายามอย่าขาดซ้อมมากนัก  เมื่อธุระ หมดไปแล้ว  ก็ให้กลับเข้าสนามปกติ  ต่อเนื่องการซ้อมให้ได้  เพื่อรักษาระดับความแข็งแกร่งพื้นฐานของตัวเองไว้  และพร้อมเสมอที่จะยกระดับความสามารถเข้าสู่เป้าหมายใหญ่ที่จำเพาะเจาะจง เช่น มาราธอน  โดยไม่ต้องโหมซ้อมมาก  ซ้อมนาน  ซ้อมเยอะภายใต้เงื่อนไขเวลาที่จำกัด  และหัวใจอยู่ที่การป้องกันการบาดเจ็บ  แต่เราจะทำอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อ  เราสามารถรักษาระดับความแข็งแกร่งพื้นฐานอยู่ในเนื้อในตัวในตนอย่างสม่ำเสมอ

               จะออกงานใหญ่ที  ก็จะได้นำกระบี่ออกมาลับคมได้เลย  ไม่ใช่เริ่มที่ตีดาบ หรือ ถลุงเหล็ก  ตำข้าวสารกรอกหม้อเป็นคราวq

 

5)  ให้รู้จักเลือกคบหา

               ใครที่จะเป็นประโยชน์กับการวิ่งของเรา  ให้เจาะเข้าไป     ไม่ใช่หมายความว่าให้คบเฉพาะบางคนที่เอื้อประโยชน์ให้เราเท่านั้น ใครที่ไม่มีประโยชน์ไม่คบ  ไม่ใช่อย่างนั้น  นั่นมันเป็นไมตรีทั่วไป  แต่ชีวิตมันกว้างและมีปริมณฑลเหลือเฟือ  ที่ให้เราสามารถจัดสรรพื้นที่ให้กับ  Someone  ที่อาจอำนวยประโยชน์จำเพาะมากกว่าผู้อื่นในการวิ่งได้  คือความสามารถในการแสวงหาปัจจัยที่ส่งเสริมการวิ่งของเราให้เป็นไปได้ด้วยดีนั่นเอง  เช่น

 

-         หมอที่เป็นเพื่อนนักวิ่งของเรา

-         Podiatrist

-         Chiropractors

-         Massage  therapist

(ไม่อยากแปลว่า หมอนวด  ทั้งๆที่มันแปลว่าอย่างนั้น  เพราะในบริบทไทย เมื่อกล่าวถึงหมอนวด ถ้าไม่นึกถึงโสเภณีก็นึกถึงผู้ที่มีความสามารถในการจับเส้นแผนโบราณ  ที่แม้บางคนอาจจะเก่ง  แต่บางคนอาจทำให้เราเส้นพลิก  กลายเป็นบาดเจ็บไปเลย)

 

6)  โปรดตระหนักว่า  การวิ่ง  ปราศจากสูตรสำเร็จ

               -  สูตรวิ่งฟรีไซส์  สูตรเดียว  ที่ใช้ได้ทุกขนาด  เป็นแนวปฏิบัติเดียวที่ใช้ได้กับนักวิ่งทุกคน  นั้น ไม่มีครับ

               -  สูตรวิ่งสุดยอดอย่างนั้น  อาจมีอยู่  แต่มันยังไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมา

               -  ไม่มีรองเท้าวิ่งยี่ห้อใดที่จะใส่แล้วดี ไปหมดทุกราย

               -  ไม่มีการจัดวิ่งใด  (Race Directing)  ใด ที่จะสามารถจัดได้เยี่ยมยอดถูกใจกับนักวิ่งทุกคน  ได้แค่จับ          

                 ใจคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเท่านั้นเอง  ไม่ใช่ทั้งหมด

               -  อย่าเอาสูตรฝึกของเราไปให้ใคร  ไม่ใช่เพราะหวง  แต่มันคนละขนาด  อย่าพาคนไปตาย

               -  อย่าไปเอาสูตรของผู้อื่นมาฝึก  (เอาพอเป็นแนวทาง และผ่านการปรับเปลี่ยนลดทอน  ย่อมได้เสมอ 

                  และจักควรเป็นเช่นนั้น)

               -  อย่าตัดสินการกระทำของนักวิ่งอื่นด้วยความฝันของเรา  ด้วยเป้าหมายการวิ่งของเรา

               -  อย่าด่วนระบายสี  และระบุองศาความถูกต้อง พวกนักวิ่งที่ฝึกคอร์ทว่า  เครียด  ว่า  เสียสุขภาพ 

                 อย่าทระนงตัวว่า  LSD  ดีที่สุด

               -  อย่าเที่ยวไปพูดว่า  วิ่งเนี่ยะดีที่สุด  ดีกว่ากีฬาอื่นใดทั้งหมด   ไม่ไหว....อย่างนี้ไม่สร้างสรรค์  อย่า

                 ทำตัวเป็นสาเหตุให้เพื่อนนักกีฬาอื่นเขาเหม็นหน้าเรา

 

ใครโดนเข้าไปเต็มๆ  อย่าโกรธกัน  ก็เพราะรักตัวเองนั่นแหละ  เค้าถึงได้สะกิดไงล่ะ

  

14:20  น.

3  ตุลาคม  2548