การออกกำลังกายโดยทั่วไปล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกายอยู่แล้ว
แต่มีหลายคนสงสัยว่าจะออกกำลังกายอย่างไร
ที่จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจสูงสุด
คำตอบของคำถามนี้ก็คือ
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก
(Aerobic exercise)
ซึ่งหลายคนก็คงจะเข้าใจว่าคือการเต้นแอโรบิก
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก
คือการออกกำลังกายของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ
ในร่างกายหลายๆมัดอย่างต่อเนื่องกัน
เป็นระยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งจะมีผลให้ร่างกายใช้ออกซิเจนไปเผาผลาญอาหาร
ในร่างกาย
และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ
และปอดดีขึ้น
โดยมีหลักการง่ายๆดังนี้
1.
เป็นการออกกำลังของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆทั่วร่างกาย
เช่น เดินเร็วๆ วิ่งเหยาะๆ
ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือเต้น
แอโรบิก
2.
ระยะเวลาในการออกกำลังกายในแต่ละครั้งไม่ควรน้อยกว่า
20-30 นาที
3. ควรทำอย่างสม่ำเสมอ
อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
4.
ที่สำคัญที่สุดคือระหว่างการออกกำลังกายต้องให้หัวใจหรือชีพจร
เต้นอยู่ในช่วงชีพจรเป้าหมาย(Target
heart rate)
ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตร
ชีพจรสูงสุด(Maximum
heart rate) = 220- อายุ(เป็นปี)
ชีพจรเป้าหมาย(Target heart rate)= 60%-70%
ของชีพจรสูงสุด
การจับชีพจรก็สามารถทำได้ง่ายๆคือ
การจับบริเวณข้อมือประมาณ 15วินาทีแล้วคูณด้วย
4
โดยทำเป็นระยะระหว่างการออกกำลังกาย
หรือถ้าจะให้ดีที่สุดคือควรมีอุปกรณ์การจับชีพจร
ซึ่งมีหลายรูปแบบ
ในท้องตลาดก็มีแบบที่เป็นนาฬิกาข้อมือ
การออกกำลังกายอย่าหักโหมจนชีพจรเต้นเร็วเกินชีพจรสูงสุดเพราะจะเป็นอันตรายกับหัวใจ
ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบแอโรบิก
1.
ทำให้สมรรถภาพการทำงานของหัวใจและปอดดีขึ้น
2. ช่วยลดไขมันในร่างกาย
สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
การออกกำลังกายแบบนี้สามารถทำให้น้ำหนักลดได้
แต่ต้องทำควบคู่กับการควบคุมอาหาร
3. ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
คลอเรสเตอรอล
และไตรกลีเซอไรด์สูง
การออกกำลังกายแบบนี้สามารถทำให้ระดับน้ำตาล
และไขมัน
ในเลือดลดลงได้ด้วย
4. ทำให้จิตใจสดชื่นเบิกบาน
ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย
1. ค่อยๆออกกำลังกาย
จากเบาๆและเพิ่มความหนักขึ้น
และเริ่มจากระยะเวลาสั้นๆก่อน
แล้วค่อยๆเพิ่มระยะเวลา
ในการออกกำลังกายให้ถึง20-30
นาที
2.
ต้องมีการอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลัง
เพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อมก่อน
รวมทั้งเมื่อจะเลิกออกกำลังกาย
ต้องค่อยๆผ่อนให้เบา
และช้าลงไม่หยุดทันทีทันใด
3.
ไม่ควรออกกำลังกายหลังจากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
ควรออกกำลังกายหลังจากรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย
2 ชั่วโมง
4.
ควรออกกำลังกายในสภาพอากาศที่เหมาะสมไม่เย็นหรือร้อนเกินไป
และควรเป็นที่ๆมีอากาศถ่ายเทดี
5. ผู้ที่มีโรคประจำตัว
ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อน
ถ้าคุณสามารถปฏิบัติเช่นที่กล่าวมาได้อย่างสม่ำเสมอ
รับรองว่าหัวใจของคุณจะแข็งแรง
เป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอ
รู้อย่างนี้แล้วอย่ารอช้า
เรามาออกกำลังกายกันเถอะ
โดย นพ.สุธี
ศิริเวชฎารักษ์
แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู