ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 17พ.ย.49

 

คำปฏิเสธของคนทรยศ

 

โดย   กฤตย์  ทองคง

 

               การสนทนาบนรถตู้ขากลับที่ออกรสสนุกสนานจากการแซวกันไปแซวกันมาในหมู่พวกเรากันเองที่สอบตกจากสนามวิ่งเขาชะโงก   นำไปสู่การนัดหมายเพื่อดื่มดริ้งค์กันต่อในค่ำคืนนั้น  ที่บ้านของพวกเราคนหนึ่ง 

               ผู้เขียนเกือบจะตอบตกลงไปแล้ว   แต่พลันเปลี่ยนใจปฏิเสธเมื่อรู้ว่า   “ไปต่อกันเลย”   ที่จะมุ่งหน้าตั้งวงกันโดยไม่ต้องกลับบ้าน     “ตายละ .....นี่จะไม่ให้กลับไปอาบน้ำอาบท่ากันเลยรึนี่”

                สมาชิกรายนึงให้เหตุผลที่น่ารับฟังว่า     “แบบนี้น่ะดีแล้ว   เดี๋ยวเมียไม่อนุญาต”   แต่ไม่ว่าเหตุผลนี้จะเป็นอย่างไร   พบว่าพวกเราก็เออออห่อหมกกันทั้งคันรถ   เหมือนเด็กๆตกลงใจที่จะยกมือไปดิสนีย์แลนด์โดยเอกฉันท์   เหลือเพียงผู้เขียนคนเดียวที่ขอตัวปฏิเสธไป     “ไม่ไหว.....ไม่ไหวจริงๆ   เพลียจัด”

                คนไทยเราดื่มดริ้งค์กันไม่จำกัดโอกาสและวาระจริงๆ   วัฒนธรรมดื่มของเรามีไว้เพื่อดีใจ , เพื่อเสียใจ , เพื่อสนุกสนาน , เพื่อแสดงออกซึ่งวิญญาณขบถ  หรือไม่เพื่ออะไรทั้งสิ้น   คือเพื่อตัวของมันเอง   กระทั่งการเฉลิมฉลองคราวนี้ก็เป็นการคบหาส้องเสพระหว่างคอมมูนิด กับ จักรวรรดินิยม     เอ้ย....ไม่ใช่   ระหว่างคนที่วิ่งชนะได้รับพระราชทานถ้วยรางวัล  กับ  นักวิ่งอันดับหก

                มันแปลกตรงที่   เราต่างอัดกันและเทะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง   ราวกับว่าจะยอมตายกันไปข้างหนึ่ง   พอเหมาเจ๋อตุง กับ เบรสเนฟ ตาย   ยังไม่ทันที่ดอกไม้หลุมศพจะเหี่ยวแห้ง   ขวดแชมเปญก็ถูกเปิดจุกอย่างไม่ละอายฟ้าดิน     ยังไม่ทันตะวันจะตกดิน  เหล่านักวิ่งที่ช่วงชิงรางวัลอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครู่   ก็กระชับไมตรีด้วยน้ำสุธารส

                ฟังคำกล่าวเช่นนี้   คล้ายกับว่าผู้เขียนคัดค้านการมีพฤติกรรมดื่มพร่ำเพรื่อ   การดื่มดริ้งค์เช่นนี้มันจะเลวจริงหรือไม่?   คงยังไม่สามารถสรุปได้ง่ายนัก   ค่าที่ว่าแม้จะวิ่งมานานแล้ว   แต่ผู้เขียนก็ต้องสารภาพว่า  ยังไม่เลิกดื่มกับเขาเหมือนกัน   และยอมรับผิดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า  ตัวเองก็รู้สึกดื่มด่ำกับการสนทนาอย่างออกรสยามความเมาเข้ามาเยือน  เฉกเช่นนิสัยของเหล่าสมาชิกแห่งโปลิสบุโรทั้งหลาย 

               การล่วงวิพากย์วิจารณ์การดื่มกินครั้งนี้จะสุ่มเสี่ยงกับการถูกกล่าวหาขว้างงูไม่พ้นคอ   สุ่งเสี่ยงที่ประเดี๋ยวพรรคพวกจะไม่อนุญาตให้ร่วมก๊วนเสวนาดื่มกินในปาร์ตี้ครั้งต่อไปเท่านั้นเอง  ข้อหา   “อัปเปหิกฤตย์คนทรยศ”     แล้วไปนั่งนินทากันในวงดื่มว่า     “น่าสงสารแฟนอ่านทางไกล   หลงเชื่อคารมกันสนิท   ทั้งๆที่ตัวกฤตย์เอง มันก็ชอบดื่ม”

                เนื่องด้วยสถานการณ์ไม่มั่นคงเช่นนี้  จึงควรเป็นเหตุที่ต้องออกคำแถลงการณ์คอมมูนิดแมนนิเฟสโต้   ชี้แจงเหตุผลอัปยศว่าทำไมถึงต้องจำแลงแปลงร่างเป็นลัทธิแก้   ว่าอันที่จริงอาตมาไม่ได้เป็นนักวิชาการจอมปลอม   อย่างที่พวกเรากำลังตั้งฉายาให้   แต่ได้โปรดเถอะ   ขนาดนั่งรถแซวกันมา  ยังสัปหงกจะตายอยู่แล้ว   ประสาทซีกหนึ่งยังเฮฮาตามท้องเรื่องที่แขวะกัน   แต่ประสาทอีกด้านหนึ่ง   ก็จมดิ่งกับห้วงนิทรารมณ์   กึ่งกลางระหว่างอเวจีกับนิพพาน   เดี๋ยวหลับตายิ้มหัวเราะกับมุขตลกที่บางคนกล่าวให้เฮ   เดี๋ยวก็ปาดน้ำลายที่ยืดไหลออกมายามหลับอย่างไม่รู้ตัว

                ที่คุยกันก็มีทั้งตลกและวิชาการ   เนื้อหาส่วนหนึ่งที่เราแลกเปลี่ยนกันระหว่างนั่งมาในรถก็คือทำไมเพื่อนนักวิ่งบางรายวิ่งได้ดีและคงกระพันเหลือเกิน   แต่บางรายได้ดีเพียงระยะเดียว   เหมือนพลุวาบฟ้าแล้วร่วงดับ   กู้ฟื้นไม่ขึ้น   และบางรายลงปุ๋ยเท่าไรๆก็ไม่งอกเงย   เห็นซ้อมกันแบบที่พวกเราก็เริ่มเก็งกันว่าเขาน่าจะไปได้ดีในสนามแข่ง   แต่ก็มีอันพับไปด้วยเหตุต่างๆเกือบทุกครั้งที่ออกสนาม  เข้าทำนองแชมป์สนามซ้อมหมูสนามแข่ง

                นอกจากปัจจัยต่างๆที่พวกเราจับมาวิจารณ์กันแล้วซึ่งล้วนก็ถูกต้องทั้งนั้น   แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะฝากไว้ประการหนึ่งก็คือ     “การรู้จักจังหวะจะโคน”   ที่หมายความว่า  คราใดควรซ้อม   คราใดควรพัก   คราใดควรเร่งโวลุ่มลงแส้   คราใดควรแทปเพอร์เจียมตัว  อย่างบรรสานสอดคล้องกับความเป็นธรรมชาติ   ซึ่งลักษณะอย่างนี้   มันเป็นเรื่องที่กำหนดระบุได้ยากในแต่ละสถานการณ์   เท่าที่สังเกต   การรับรู้   และความสามารถที่จะ   Harmonize  ตรงนี้  บางคนเท่านั้นที่เข้าใจง่าย  มีมากที่ขี้สงสัยเสมอ   และหลายรายไม่หือไม่อือต่อหลักการอะไรเลย

                อย่างครั้งนี้   ถ้าผู้เขียนเข้าร่วมก่อการกับคณะปฏิรูป  ด้วยการไปดื่มดริ้งค์ต่อ ไม่กลับบ้านไม่กลับช่อง  นอกจากแม่บ้านจะโทรตามแล้ว  เราคงจะต้องไปนั่งฝืนหัวไม่ให้โคลงเคลงสัปหงก  การดื่มเฮฮากับพรรคพวก   จึงกลายเป็นการเสียมารยาทของผู้ร่วมก่อการชั้นดีที่จะเป็นต้นเหตุให้สมาชิกอื่นเสียรสด้วยการให้เขาเห็นสารรูปฝืนหัวของเรา

                อีกทั้งความง่วงที่สุดฤทธิ์-สุดเดชของเราคราวนี้   สำหรับพวกเราชาวนักวิ่ง   มันเป็นสัญญาณชั้นดีที่บอกตัวเราว่า   “ร่างกายต้องการการพักผ่อนอย่างมาก”  และไม่พร้อมเผชิญหน้ากับงานหนัก-เบาใดๆทั้งสิ้น   เรี่ยวแรงพละกำลังทั้งหมดถูกใช้หมดไปกับการแข่งขันเมื่อเช้าไปแล้ว   ต้องขอเข้าอู่เพื่อสงบนิ่งจำศีลชั่วคราวระยะหนึ่ง

                แต่แล้ว  ณ จุดตัดสินใจขณะหนึ่ง   จำต้องเลือกไปตรากตรำต่อ   แม้จะไม่ใช่การวิ่งซ้อม และ แม้จะไม่ใช่การแข่งขันอีกครั้ง   แต่มันคือการไม่ได้พักผ่อน   ผลลัพธ์ถือเป็นการใช้ร่างกายอย่างไม่บันยะบันยังนั่นเอง

                ซึ่งมันจะไปบั่นทอนเป้าหมายใหญ่ของผู้เขียนคือ   “ความตั้งใจที่จะวิ่งได้จนแก่   อยู่ในวงการได้นานปี   อย่างปราศจากการบาดเจ็บ”

                แม้จะอาลัยอาวรณ์  มิตรภาพระหว่างพวกเรา  และแม้จะตระหนักในภารกิจของผู้ร่วมก่อการชั้นดีว่าสมควรจะทำตัวเยี่ยงไร   แต่จำต้อง   “ปฏิเสธ  ไม่ร่วมดื่มดริ้งค์ด้วยคราวนี้”   ก็เพื่อจะกลับไปนอนนั่นแหละเรื่องของเรื่อง      ยังความเสียดายให้กับทั้งจักรวรรดิ์ และ คอมมูนิด  เป็นอย่างยิ่ง

                ถ้าเพียงแต่พวกเขาทั้งหลายจะได้มีโอกาสหยั่งเห็นว่า   ผู้เขียนซุกหัวเข้าหมอนเมื่อห้าโมงเย็น  ตั้งแต่แดดยังไม่หมด  จนกระทั่งแสงเริ่มทาบฟ้าอีกวัน   เขาย่อมจะเข้าใจว่าหัวใจผู้เขียนยังคงซื่อสัตย์ต่ออุดมกาณ์ของนักดื่มชั้นดีอยู่มิรู้คลาย  มิได้แหนงหน่ายเหล่าสมาชิก  เพียงแต่ขอนอนเท่านั้น   และเพียงแต่ถ้าพวกเขาจะหยั่งรู้สึกสดชื่นยามเช้าตรู่ได้อย่างที่ผู้เขียนรู้สึกในขณะนี้ว่า   ประสาทมันใสแหน๋วราวกับสายธารในป่าลึกขนาดไหน   เขาคงต้องยอมรับว่า    “ปล่อยกฤตย์มันไปเถอะ”

                ที่สำคัญผู้เขียนอุ่นใจที่ตัวเองได้ตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดกับการสร้างเสริมเหตุปัจจัยแห่งความทนทานให้ร่างกายยืนยงคงทนได้นานปี   รับใช้การวิ่งจนเข้าวัยชราได้

                การวิ่ง   เป็นกิจกรรมที่เราต้องยอมรับว่า   เป็นชนิดกีฬาที่ผู้วิ่งลงแรงบีบเค้น  (Stress)  ต่อร่างกายอย่างเข้มงวดข้นลึกมากชนิดหนึ่งทีเดียว   หากไม่เป็นเช่นนี้   เราคงไม่จัดให้การวิ่งเป็นชนิดกีฬาที่สามารถเผาผลาญแคลลอรี่ได้มากที่สุดต่อคาบระยะเวลาเท่าๆกันหรอกครับ   และเพราะเหตุดังนี้   พวกเราในวงการจึงยอมรับว่า   การวิ่งเป็นชนิดกีฬาที่มีโอกาสเสี่ยงต่อความบาดเจ็บมากชนิดหนึ่งแน่นอน 

               แต่อย่างไรก็ตาม   ย่อมมีความเป็นไปได้ที่ผู้วิ่งที่ฉลาด   อาจหลีกเลี่ยงความเสี่ยงประการนี้ให้น้อยลง , น้อยมากๆ , น้อยที่สุด  จนเกือบไม่มีเลยได้เสมอ   ด้วยข้อแนะนำต่างๆที่เมื่อเอ่ยไปพวกเราก็คงเคยได้ยินกันมาแล้วทั้งสิ้น  เช่น   การต้องรู้จักวอร์ม-อัพเตรียมตัว , ต้องสม่ำเสมอกับการยืดเส้นที่พอเพียง , การต้องเผชิญกับการคูล-ดาว์นก่อนเลิก ,ต้องรับน้ำก่อนกระหายจนเป็นนิสัย  และความเข้าใจกับหลักการผ่อนหนักผ่อนเบา  ตามจังหวะจะโคน , พักเมื่อคราวพัก   ไม่หักโหมร่างกายต่อกิจกรรมต่างๆ   อย่างที่ผู้เขียนเล่าอยู่   ไม่จำเพาะแต่ฝึกหนักต่อฝึกหนักดังที่เคยกล่าวเตือนมาแล้วเท่านั้น  แต่อาจเป็นการเผชิญหน้าระหว่างฝึกหนักต่อด้วยการเดินป่าที่ต้องระวังด้วยก็เป็นได้   หรือ   การแข่งขันแล้วตามต่อด้วยการดื่มดริ้งค์ด้วยเช่นเดียวกัน

                ขอให้พวกเราแจ่งชัดต่อหลักการนี้ให้ดีนะครับ   เมื่อพวกเรามั่นคงดี   ย่อมเชื่อได้ว่า  หลักการต่างๆที่พวกเรานำพา   ย่อมจะเป็นเครื่องมือเอื้ออำนวยให้พวกเราประสบความสำเร็จในเป้าหมายชีวิตวิ่งอย่างแน่นอน

  

09:00  น.

13   พฤศจิกายน   2549

หลังเขาชะโงกหนึ่งวัน