<% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_crazy_marathon_by_ben.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %> ความหลงใหลในมาราธอน_โดย_เบญ

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 26ธ.ค.48<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>

ความหลงใหลในมาราธอน

 

โดย...เบญ

 (ประสบการณ์การวิ่งของข้าพเจ้า)

จำได้ว่า ไม่มีแววว่าจะสนใจกีฬาหรือการวิ่งมาก่อน พอมาช่วงตอนม.ต้น ที่โรงเรียนสีตบุตร สนใจปิงปอง ตีกับเพื่อนๆ แทบทุกวัน ฝีมือก็พอใช้ได้ และมีเตะฟุตบอลบ้าง แต่ไม่เก่ง เล่นกันในพื้นที่เล็กๆ ประตูเล็กๆ (โกล์หนู) นอกนั้นก็มีวิ่งเล่นไล่จับกับเพื่อนๆ บ้าง มีเพื่อนคนนึงเขาวิ่งเร็วมาก ถูกเขาจับได้ทุกที (นี่คือพื้นฐานเบื้องต้นเท่าที่มี) อ้อ! ช่วงตอนม.3 มีเรียนตะกร้อและบาส ก็ดันข้อเท้าซ้ายพลิกซะอีก จากการเล่นฟุตบอล เลยเล่นตะกร้อกับบาสไม่ค่อยเป็นอีก

พอม.ปลาย มาเรียนโรงเรียนสามมุกคริสเตียน ที่บางแสน ชลบุรี เป็นโรงเรียนประจำ ก็เริ่มสนใจวิ่งบ้าง เพราะเห็นพี่ๆ เพื่อนๆ เล่นกีฬาและวิ่งเก่งๆ หลายคน ร่วมเล่นกับเขาบ้าง ที่โรงเรียนมีจัดแข่งกีฬาสีทุกปี (ตามจริงที่โรงเรียนมีชื่อด้านบาสเกตบอลมากกว่า) รายการวิ่งที่ได้ร่วมแข่งตอน ม.5 มีวิ่ง 1,500 กับ 400 เมตร ตอนลงวิ่ง 1,500 เมตร ก็พยายามวิ่งช้าๆ เพื่อออมแรงไว้ช่วงท้าย แล้วก็เพลินคิดอะไรไปเรื่อยๆ จนผู้นำทิ้งห่างไปมาก พอได้สติ ก็พยายามเร่งช่วงสุดท้ายเต็มที่ เข้าเส้นเป็นที่ 1 จนได้ (อย่าถามเวลา เพราะไม่ดี) แต่ก็หมดเรี่ยวแรงไปเลย อีก 2 วันเข้าแข่งระยะ 400 เมตร ได้ที่ 2 แพ้เพื่อน คงเพราะยังล้าจากการแข่ง 1,500 เมตร (เข้าข้างตัวเอง) ในกีฬาสีเห็นรุ่นพี่เขาแข่งวิ่งระยะไกล ประมาณ 11 กิโลเมตร โดยให้วิ่งออกจากโรงเรียนไปเขาสามมุก แล้วไปอ้อมหาดบางแสน วกกลับมาที่โรงเรียน รู้สึกมันท้าทายและอยากวิ่งเก่งแบบพี่ๆ บ้าง ตอนม.6 จึงฟิตซ้อมมาโดยตลอด และได้แชมป์วิ่งระยะไกลในกีฬาสีก่อนจบ (คงเพราะเพื่อนๆ เล่นกีฬาแบบหลากหลาย แต่ผมบ้าวิ่งอย่างเดียว)พอม.ปลาย มาเรียนโรงเรียนสามมุกคริสเตียน ที่บางแสน ชลบุรี เป็นโรงเรียนประจำ ก็เริ่มสนใจวิ่งบ้าง เพราะเห็นพี่ๆ เพื่อนๆ เล่นกีฬาและวิ่งเก่งๆ หลายคน ร่วมเล่นกับเขาบ้าง ที่โรงเรียนมีจัดแข่งกีฬาสีทุกปี (ตามจริงที่โรงเรียนมีชื่อด้านบาสเกตบอลมากกว่า) รายการวิ่งที่ได้ร่วมแข่งตอน ม.5 มีวิ่ง 1,500 กับ 400 เมตร ตอนลงวิ่ง 1,500 เมตร ก็พยายามวิ่งช้าๆ เพื่อออมแรงไว้ช่วงท้าย แล้วก็เพลินคิดอะไรไปเรื่อยๆ จนผู้นำทิ้งห่างไปมาก พอได้สติ ก็พยายามเร่งช่วงสุดท้ายเต็มที่ เข้าเส้นเป็นที่ 1 จนได้ (อย่าถามเวลา เพราะไม่ดี) แต่ก็หมดเรี่ยวแรงไปเลย อีก 2 วันเข้าแข่งระยะ 400 เมตร ได้ที่ 2 แพ้เพื่อน คงเพราะยังล้าจากการแข่ง 1,500 เมตร (เข้าข้างตัวเอง) ในกีฬาสีเห็นรุ่นพี่เขาแข่งวิ่งระยะไกล ประมาณ 11 กิโลเมตร โดยให้วิ่งออกจากโรงเรียนไปเขาสามมุก แล้วไปอ้อมหาดบางแสน วกกลับมาที่โรงเรียน รู้สึกมันท้าทายและอยากวิ่งเก่งแบบพี่ๆ บ้าง ตอนม.6 จึงฟิตซ้อมมาโดยตลอด และได้แชมป์วิ่งระยะไกลในกีฬาสีก่อนจบ (คงเพราะเพื่อนๆ เล่นกีฬาแบบหลากหลาย แต่ผมบ้าวิ่งอย่างเดียว)

ต่อมาได้มีโอกาสไปร่วมวิ่งไมโล แชมป์ 7 สี ระยะ 10 กิโลเมตร ต้องนั่งรถเมล์ไปเอง ไกลมากๆ ไปก็ไม่ค่อยถูก เกือบหลงทางเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดแถวนนบุรีโน่น จึงรู้ว่าพวกแนวหน้าเขาวิ่งเร็วมากๆ แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพราะชอบวิ่งเฉยๆ ไม่ได้วิ่งเพื่อล่ารางวัลอะไรกับเขา ยังไม่ค่อยรู้ว่าเขามีการจัดแข่งมินิมาราธอน และตัวเองไม่ได้มีร่างกายแบบนักกีฬา ไม่เคยมีใครมาแนะนำการซ้อมให้ ช่วงนั้นซ้อมเองที่สวนลุมพินี

แล้วครั้งหนึ่งได้มีโอกาสได้ดูทีวี เห็นเขากำลังถ่ายทอดวิ่งที่ต่างประเทศ (เข้าใจว่านิวยอร์คมาราธอน สมัยนั้นยังไม่รู้จักหรือสนใจการวิ่งมาราธอนเลย) เป็นการวิ่งในถนน ซึ่งเห็นเขาถ่ายนักวิ่งอยู่คนเดียว วิ่งไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ มีช่วงหนึ่งผู้บรรยายได้บรรยายว่า นักวิ่งคนนั้นจับต้นขาด้านหลัง เพราะเริ่มเป็นตะคริว ซึ่งก็สงสัยอีกว่า แล้วทำไมไม่หยุดซะที ยังวิ่งต่อได้อีก แล้วจะวิ่งต่อไปถึงไหนกัน แล้วคนอื่นหละ ไปไหนกันหมด ทำไมวิ่งอยู่คนเดียว ซึ่งเริ่มทำให้สนใจการวิ่งมาราธอน และอยากวิ่งพิชิตมาราธอนได้บ้าง

ต่อมาไม่นานนักมีการประชาสัมพันธ์วิ่งมาราธอนเพื่อเปิดสะพานพระราม 9 ก็คิดอยากจะร่วมวิ่งบ้าง ก็พยายามซ้อมวิ่งยาวขึ้น อ่านวิธีวิ่งจากหนังสือวิ่งของสำนักพิมพ์หมดชาวบ้าน รู้ว่าต้องซ้อมยาวๆ และก็สงสัยเรื่องอื่นๆ บ้าง เช่น วิ่งชนกำแพงมันหมายถึงอะไร ก่อนแข่งก็มีโอกาสได้ซ้อมยาวครั้งหนึ่ง (ตั้งใจหลายครั้ง แต่ได้ครั้งเดียว) คือวิ่งรอบสวนลุมฯ ได้ 4 รอบ ขาล้ามากจนต้องพัก แล้วก็ต่ออีก 4 รอบ รวมเป็น 20 กิโลเมตร นี่คือการซ้อมที่ไกลที่สุดก่อนลงมาราธอนครั้งนั้น ผมเคยร่วมวิ่งมินิฯ 3 งาน และไม่เคยลงฮาล์ฟมาก่อน

พอออกตัว รู้ว่าต้องวิ่งช้าเข้าไว้ (ต้องเจียมตัวไว้) แต่พอถึง 20 กิโลเมตร ก็หมดเอาดื้อๆ เลย ได้เท่าที่ซ้อมจริงๆ ต้องเริ่มเดิน ต่อมาเริ่มรู้สึกแค่เดินยังไม่อยากเดินเลย ก้าวไปได้ 3 ก้าวต้องหยุดพัก รวบรวมแรงใจได้ก็ก้าวได้อีก 3 ก้าว ต้องหยุดพักอีก (อ้อ! นี่เองหรือที่เขาเรียกว่าชนกำแพง) ไม่แค่นั้น เพราะต่อมาเป็นตะคริวที่ขาทั้ง 2 ข้างอีก มัดที่อยู่ติดอยู่เหนือเข่า ด้านในขา มันยกตัวขึ้นมาเอง (แต่ปกติไม่กลัวการเป็นตะคริว แม้จะอยู่ในน้ำ) แดดก็เปรี้ยงแล้ว ตอน 10-11 โมง คอยบอกตัวเอง (กระตุ้นตัวเอง) ตลอดทางว่า ต้องไปให้ถึงเส้น เพราะไม่เช่นนั้นจะกลับบ้านไม่ถูก แถวนี้ไม่รู้จัก (.สุขสวัสดิ์) ไม่ได้พกเงินมา และต้องกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ด้วย กระดึบๆ ไปจนถึงสะพานพระราม 9 โอ้! ทำไมต้องสร้างสะพานที่ชันขนาดนี้หนอ กระดึบไปถึงยอด ก็ปลอยตัวไหลเข้าเส้นไปเลย มันชันมาก ช่วงท้ายเลยเหมือนสปริ้นท์เข้าเส้นเลย ถ้าไม่ผิด ใช้เวลาไปประมาณ 5.30 ชม. หลังจากนั้นเดินไม่ค่อยเป็นไปอีกกลายวัน

และต่อมาก็ได้เข้าร่วมกรุงเทพมาราธอนแทบทุกปี โดยมีความตั้งใจอย่างแรกว่าจะต้องไม่เดินให้ได้ มันก็ต้องเดินอยู่ดี จาก 4 ชม.ปลาย มาเป็น 4 ชม.ครึ่ง แล้วก็ค่อยๆ ลดลงมาทุกปี จนอีกหลายปี กว่าจะไม่เดิน ซึ่งต้องฝืนมากเหมือนกัน (ปกติถ้าหยุดเดิน มันก็อยากจะหยุดเดินอีก ไม่อยากวิ่งต่อ และต้องไปนอนพักในเต้นพยาบาลบ่อยๆ) การซ้อมที่สวนลุมฯ ทำให้รู้จักนักวิ่งทั้งแนวหน้าและแนวอื่นๆ หลายคน บางทีตอนซ้อมก็พยายามเกาะกับพวกวิ่งเร็วๆ ไปได้สัก 2-3 รอบบ้าง ตอนนั้นไม่มีใครแนะนำอะไร (หรือแนะนำแล้ว แต่เราไม่รู้เรื่อง ก็ไม่แน่ใจ)

สมัยที่เรียนเอแบค รู้จักรุ่นพี่ผู้หญิง ซึ่งเขาเป็นนักวิ่งแนวหน้าชื่อพี่เปรมจิต เชื้อสายอินเดีย วิ่งตามเขาไม่เคยทันเลย แต่ไม่มีโอกาสได้ถามวิธีการฝึกซ้อม พอพี่เขาแต่งงานไป เขาก็เลิกวิ่งเลย

มีคนแนะนำให้ลองลงคอร์ท 400 เมตรที่ 75 วินาที เราก็ลอง (ซ้อมเองที่สนามจุ๊บ - จุฬาฯ) ทำไมมันช่างเหนื่อยอย่างนี้หนอ หน้ามืดตาลาย ทำได้ไม่กี่เที่ยว แต่มันก็มีส่วนช่วยให้เวลา 10 กิโลเมตร ของผมลดลงมาต่ำกว่า 40 นาทีได้ เวลามาราธอนก็ลดลงทุกปีๆ ตอนนั้นวิ่งยาวได้มากขึ้นแล้ว เคยวิ่งสวนลุมฯ 12 รอบ แม้ว่า 2 รอบสุดท้ายจะหมด แต่ก็ฝืนจนครบ โดยวิ่งประคองไปรอบละ 16-17 นาที จนมาเวลามาราธอนอยู่ที่ 3.18 ชม. ก็ได้ใจ ตั้งเป้าต่อไปว่าจะต้องวิ่งให้ได้ต่ำกว่า 3 ชม.ให้ได้ ก็มีคนบอกว่ายากมากๆ เลยนะ ทำไม่ได้หรอก ผมก็คิดว่ายาก แต่จะพยายามทำให้ได้สักวัน (ผมดื้ออยู่แล้ว และในที่สุดก็ทำได้แล้ว 2 ครั้ง ที่กรุงเทพมาราธอน ตามจริงก็มีเป้าต่ออีกว่าจะทำให้ต่ำลงไปอีก แต่ยังไม่โอกาสซ้อมได้ต่อเนื่อง ได้แต่พยายามซ้อมให้กลับมาใกล้เคียงที่เคยทำได้ให้มากที่สุด)

ก่อนจะทำได้ต่ำกว่า 3 ชม. เนื่องจากสนใจการวิ่ง การซ้อม แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องซ้อมอย่างไร เห็นเขามีขาย heart rate monitor ของ Polar ก็ซื้อมาลองพร้อมหนังสืออีกหลายเล่ม ภาษาอังกฤษทั้งนั้น ทั้งๆ ที่เป็นคนไม่ค่อยขยันอ่านหนังสือ แต่เพราะสนใจจึงพยายามอ่าน อ่านไป เปิดดิ๊กไป บางคำมันก็ไม่มีในดิ๊ก ก็เดาเอา ทำให้เข้าใจวิธีการซ้อมการวิ่งมากขึ้น เช่น รู้จัก lactate threshold training ต้องสลับวันหนักวันเบาเพื่อให้ร่างกายได้พัก และก็ได้สั่งซื้อหนังสือเกี่ยวกับวิ่งจาก amazon.com มาอีก กองเป็นตั้ง ตอนนี้บางเล่มยังอ่านไม่จบเลย

ที่เคยสงสัยอยู่ว่า ทำไมต้องวิ่งคอร์ท 400 เมตร ที่ 75 วินาที ตามที่คนอื่นแนะนำมา ซึ่งเข้าใจแล้วว่า ความจริงเราต้องรู้ความสามารถปัจจุบันก่อน และตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ ถึงจะมากำหนดความเร็วในการซ้อม interval ซึ่งบางคนควรวิ่ง 400 เมตร ที่ 90-100 วินาที/เที่ยว ด้วยซ้ำไป แล้วค่อยลดเวลาลงไปทีละนิดเมื่อพัฒนาขึ้นที่เคยสงสัยอยู่ว่า ทำไมต้องวิ่งคอร์ท 400 เมตร ที่ 75 วินาที ตามที่คนอื่นแนะนำมา ซึ่งเข้าใจแล้วว่า ความจริงเราต้องรู้ความสามารถปัจจุบันก่อน และตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ ถึงจะมากำหนดความเร็วในการซ้อม interval ซึ่งบางคนควรวิ่ง 400 เมตร ที่ 90-100 วินาที/เที่ยว ด้วยซ้ำไป แล้วค่อยลดเวลาลงไปทีละนิดเมื่อพัฒนาขึ้น

ในสนามแข่งผมไม่เคยสนใจเลยว่านักวิ่งคนไหนอยู่รุ่นเดียวกับผม (เห็นหลายคนเวลาแข่งเขาจะมองดูป้ายว่ารุ่นเดียวกับเขาไหม) คนข้างหน้าของผมคือคู่แข่งหมด พยายามจะเก็บให้ได้ (เท่าที่ไหว) ถ้วยรางวัลเป็นเพียงผลพลอยได้ เป้าหมายคือทำสถิติตัวเองให้ดีขึ้นๆ ทำให้เต็มที่ เพราะฉนั้นการซ้อมจึงเป็นสำคัญมาก (ปกติจะใช้วันอาทิตย์เป็นวันซ้อมวิ่งยาว) การมาแข่งคือการทดสอบว่า ที่ซ้อมไปได้ผลแค่ไหน ผมจึงไม่ได้ลงแข่งบ่อยๆ และผมเองไม่สามารถซ้อมได้ต่อเนื่อง เพราะจะติดงานเป็นช่วงๆ บางครั้งก็ต้องหยุดซ้อมเป็นเดือนๆ

เพราะบ้าวิ่งและคงเพราะละเลยการวอร์มอัพคูลดาวน์ ทำให้มีอาการเจ็บจนต้องหยุดซ้อมบ้าง ซึ่งปัจจุบันก็จะมีอาการอยู่เรื่อยๆ (เข้าใจว่าอาการส่วนใหญ่เกิดจากกล้ามเนื้อ ยังไม่เคยเจ็บหนักถึงข้อ/กระดูก ตามที่หมออธิบาย) ต้องคอยนวด ทั้งนวดไทย นวดแบบ sport นวดเอง หรือหาหมอ (ที่รพ.ตำรวจ แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู) อยู่บ่อยๆ จนหมอเคยบอกว่าหยุดวิ่ง (หนักๆ) เถอะ แต่ก็ยังดื้ออยู่ครับ

ที่เคยสงสัยอยู่ว่า ทำไมต้องวิ่งคอร์ท 400 เมตร ที่ 75 วินาที ตามที่คนอื่นแนะนำมา ซึ่งเข้าใจแล้วว่า ความจริงเราต้องรู้ความสามารถปัจจุบันก่อน และตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ ถึงจะมากำหนดความเร็วในการซ้อม interval ซึ่งบางคนควรวิ่ง 400 เมตร ที่ 90-100 วินาที/เที่ยว ด้วยซ้ำไป แล้วค่อยลดเวลาลงไปทีละนิดเมื่อพัฒนาขึ้น

ปีที่ทำเวลากรุงเทพมาราธอนได้ต่ำกว่า 3 ชม.ครั้งแรก คือทำเวลา 2:54:20 (ถ้าจำวินาทีไม่ผิด) ไม่ติดอันดับอะไรเลย แต่ภูมิใจมากที่ทำได้ ก่อนหน้านั้นเคยทำเวลาที่พัทยา 3:00:23 (ถ้าจำวินาทีไม่ผิด) เจ็บใจมาก เพราะได้แต่มองเวลาเลย 3 ชม.ไป โดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ เพราะมันหมดแล้วจริง ไม่สามารถเร่งความเร็วได้เลย ซึ่งก็ไม่ติดเหมือนกัน แต่ก็ภูมิใจว่าใกล้เข้าอีกนิดแล้ว สำหรับกรุงเทพปีที่แล้วก็ภูมิใจอีกครั้งที่ทำได้ 2:57 แม้จะแพ้พี่บุญมานิดหน่อย แต่มาแซงผู้หญิงที่ 1 ได้ที่หลังวัดพระแก้วนี่เอง

ส่วนปีที่เคยฟลุ๊กติดอันดับกรุงเทพคือปีถัดมา ทำเวลาไว้ประมาณ 3:02 อันดับ 4 ของรุ่น ส่วนพัทยาก่อนหน้านั้นเคยติดอันดับ 2 ของรุ่น ทำเวลาได้ 3:07 ซึ่งถูกที่ 1 ทิ้งเวลาห่างมากๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการได้รางวัล ก็แค่ไม่มีคนเข้าเส้นไปก่อนก็แค่นั้น ความภูมิใจน่าจะเกิดจากการฝึกซ้อมอย่างมีวินัย มุ่งมั่น ทุ่มเท แล้วพอมาแข่งทดสอบดูแล้วได้เห็นความก้าวหน้ามากกว่า

เวลา 2:54 เคยคำนวณคร่าวๆ คือเฉลี่ย 4:09 นาที/ก.ม. ซึ่งถ้าเป็นตอนซ้อมก็รู้สึกมันเร็วพอควร และให้วิ่งความเร็วดังกล่าวตลอด 42 กม.นั้นเป็นไปได้ยังไง ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน

เคยได้ใจไปลองไตรกีฬา ไม่ได้พูดถึงระยะ Olympic distance นะ เพราะเคยลองมาก่อนแล้ว แต่หมายถึงระยะแบบ Ironman ของฝรั่งเขาเลย จำได้ว่า ว่ายน้ำ 3.9 กม. จักรยาน 189 กม. วิ่ง 42.9 กม. (แทบจะเดินอย่างเดียว) ผู้จัดต้องการให้ลงเลข 9 แต่ใครที่จะลง ต้องผ่านระยะฮาล์ฟก่อน ช่วงนั้นก็ต้องฝึกจักรยานมากหน่อย ซึ่งไม่ค่อยถนัด ก้นระบมไปหมด แถมกลัวรถชนด้วย ได้ซื้อเทรนเนอร์ของจักรยานมาฝึกด้วย (เป็นตัวยึดให้จักรยานอยู่กับที่ และมีที่ทำให้ล้อฝืดให้เหมือนออกถนนจริง หรือปรับให้หนืดเหมือนขึ้นเขาก็ยังได้) เคยฝึกซอยบนเทรนเนอร์ 5 ชม. ก่อนลง Ironman พอลงจริงก็ผ่านมาได้ ใช้เวลาไป 16 ชม.กว่า แต่มันก็มีผลทำให้มีอาการเจ็บต้องหยุดไปปีกว่า ไม่ใช่แข่งแล้วเจ็บเลยนะ หลังจากแข่งได้พักฟื้น 1 เดือนเต็ม หรือจะกว่าเดือนด้วยซ้ำ แล้วจึงมาเริ่มซ้อมวิ่งอีกครั้ง ซ้อมได้ไม่นานก็เริ่มเจ็บส้นเท้ามากๆ ไปหามาหลายหมอ หลายประเภท แล้วมาจบที่ หมอเวชศาสตร์ ร..ตำรวจ ซึ่งมีทั้งทำกายภาพบำบัดด้วย (แผนกเดียวกัน) หมอเขาบอกว่าเกิดจากกล้ามเนื้อน่องใช้งานมาก ตอนแรกก็งง เพราะเจ็บที่ส้นเท้า ไหงบอกว่าเกิดจากน่อง นักกายภาพก็ช่วยทำอัลตร้าซาวด์ ที่ทั้งส้นเท้าและน่อง ส่วนคุณหมอใช้เข็มมาแทงเข้าไปที่น่องเลย เป็นการช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว สำหรับคนที่ยืดเหยียดหรือนวดแล้วไม่ได้ผล

ตอนนี้ก็ยังไปหาหมออยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ใช่เฉพาะที่ขา หมอเขาแทงเข็มแทบจะทั่วตัวแล้ว ทั้งคอ บ่า สะบัก หลัง/เอว ก้น เป็นต้น ในจุดที่เรารู้สึกมีการปวด หมอเขาบอกว่า คนนี้เป็นทั่วตัวเลย เมื่อก่อนก็ไม่สนใจการนวด เพราะกลัวติด แต่เดี๋ยวนี้ต้องคอยนวดตลอด เมื่อก่อนไม่มีอาการนี้ แต่ตอนที่หยุดไปเนื่องจากเจ็บส้นเท้านั้น ก็เริ่มมีอาการตึง ปวด ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เคยออกกำลังกายมากๆ แล้วหยุดไปเลยก็อาจจะไม่ดี ถ้าตามหมอจีน เขาคงบอกว่าเลือดหมุนเวียนไม่ดี ดังนั้นต้องมาออกกำลังให้สม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการนวด หรือจะเซาน่าเพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียน)

ณ ตอนนี้ก็ยังฝันอยู่ว่า อยากจะวิ่งมาราธอนให้ต่ำกว่า 2:50, 2:40, 2:30 ต่อไป แม้ว่าอะไรๆ จะไม่เอื้อแล้ว ตามจริงรางวัลตามงานวิ่งนั้นได้ก็ดี ไม่ได้ก็เฉยๆ (ไม่ใช่แนวหน้าหรือนักล่ารางวัล) สนแต่สถิติว่าซ้อมแล้วก้าวหน้าขึ้นบ้างไหม เคยถูกโกงรางวัลไปก็ไม่ได้ประท้วง ได้แต่เสียความรู้สึก แต่รางวัลที่อยากได้น่าจะเป็นเหรียญทองโอลิมปิกมากกว่า 555

 

บันทึกเมื่อ ธ..2548