<% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_build_runner.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %> สร้างนักวิ่ง_กฤตย์

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.49<% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>

 

สร้างนักวิ่ง

 

โดย   กฤตย์  ทองคง

 

               ผู้เขียนเคยเอ่ยอยู่เสมอว่า  ปัญหาของนักวิ่งคือ    “วิ่งมากเกินไป”     และปัญหาของคนทั่วไปก็คือ  “ไม่ยอมวิ่งเอาเลย”  (หรือไม่ยอมมีกิจกรรมออกกำลังกายใดๆ)    โลกหนอโลก    ช่างไม่สมดุลเสียจริง

 

               สำหรับผู้คนประเภทหลัง  หากเราชวนเขาสนทนา  เกี่ยวกับการกีฬา  ก็จะได้รับความสนองตอบแบบเห็นด้วย  แสดงทัศนะมากมาย  แต่พวกเขาเกือบทั้งหมด  ไม่เคยปฏิบัติจริง  ตกลงกีฬาสำหรับพวกเขามีไว้ดู  และดูไว้เพื่อวิจารณ์  และวิจารณ์ไว้เพื่อที่จะพนัน  การที่จะลงมือจริง  สานก่อถักทอด้วยตนเอง  จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะคิดได้

 

               สิ่งที่คนทั่วไปต้องการอย่างยิ่งในกรณีนี้ก็คือ  แรงจูงใจที่จะวิ่ง  แรงดลใจอะไรที่ทำให้เริ่มออกก้าวแรก  และแรงเพียรอะไรสักอย่างที่จะรักษาแบบแผนนี้ ให้วิ่งต่อไปได้  อย่างน้อยก็สักช่วงเวลาหนึ่ง  และเรานักวิ่งผู้มาก่อน , ชมรมวิ่งฯ , สมาพันธ์วิ่งฯ  หรือกลุ่มก้อนประชาคมวิ่งต่างๆ  ไม่สามารถจัดหาสิ่งเหล่านี้มาให้พวกเขาได้  เราปล่อยให้เขาเผชิญชะตากรรมนี้อย่างเดียวดาย

 

               บรรดาพวกเขาดูเหมือนจะมีแววตาปรารถนา  อาวรณ์อยู่ลึกๆอย่างมีฝันว่า  “ถ้าฉันวิ่งได้บ้างก็คงจะดี........แต่”     แล้วตามด้วยถ้อยคำที่ดูถูกความสามารถตัวเอง  และด่วนตัดสิน , ตัดรอน , และจำกัดศักยภาพตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย  ด้วยนิสัย , รสนิยม , ความเคยชินแบบเก่าๆ     เป็นอะไรที่ร้ายกาจนัก

 

                              Jack  Daniels  P.h.D. ,  นักสรีรวิทยาออกกำลังกาย  และโค้ชจากสถาบัน  State  University of New York at  Cortland.  กล่าวว่า  “The key  factor in any beginner’s training program  is motivation.”  (สิ่งสำคัญที่สุดในแผนฝึกวิ่งของผู้หัดใหม่ ก็คือ “แรงจูงใจ”)     “If you’re genetically gifted but not interested in training , you’ll never develop.”     (แม้จะมีพรสวรรค์เป็นแต้มต่อ  หากคุณไม่สนใจฝึกเพื่อก่อสานเพิ่มเติมให้พัฒนาขึ้น  คุณก็อยู่แค่นั้นแหละ)

 

               คนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด  วิ่งได้ทั้งนั้นแหละ  แต่ปราศจากแรงจูงใจเป็นเชื้อขับดันในยกที่หนึ่ง     ยกที่สองอาจถูกดันต่อด้วยเสน่ห์แห่งมิตรภาพจากกลุ่มเพื่อนวิ่ง     ยกที่สามอาจต่อเชื้อปะทุด้วยเหรียญวิ่งอันแรก  แล้วก็พอเพียงแค่นี้ ไม่ต้องอาศัยอะไรขับดันอีกเป็นยกที่สี่  พอใครได้เหรียญอันแรกเดียวเท่านั้น  เขาก็สามารถเป็นนักวิ่งได้ตลอดชีวิตแล้ว  ขี้คร้านจะบอกให้     “เพลาๆหน่อย  เดี๋ยวเครื่องไหม้”     เสียอีก

เ ห็ น ไ ห ม ค รั บ     ห ล า ย ร า ย ข า ด แ ต่ ย ก ที่ ห นึ่ ง!

 

               เรานักวิ่ง , เราชมรมวิ่งฯ , เราสมาพันธ์วิ่งฯ  เราอยากให้เขามาวิ่ง  ชวนเขามาอย่างธรรมดา  โดยอ้างประโยชน์ที่ผู้วิ่งจะได้สุขภาพอย่างเดิมๆไม่ได้แล้ว  ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ     ก็ชวนแล้ว  สำเร็จไหมล่ะ     ชะรอยว่า    “สุขภาพ”    แม้จะมีความหมายที่สำคัญอย่างยิ่งกับชีวิต  แต่เราไม่สามารถจัดให้สุขภาพเป็นแรงจูงใจยกที่หนึ่งได้เลย  มันมีเสน่ห์ที่ไม่รุนแรงเพียงพอ

 

               ที่ผ่านมา  เราใช้ภาษีบาปไปประชาสัมพันธ์วิ่งเพื่อสุขภาพ  แถลงข่าวไปเถอะ  จัดงานวิ่งไปเถอะ  ที่วนเวียนอยู่ก็คือ  หน้าเก่าไปเอาถ้วย  แต่หาหน้าใหม่ไปเอาเหรียญไม่เจอ  ถ้าลองชูประเด็นสุขภาพหรือแนวทางกิจกรรมอย่างเก่าๆ (เช่นจัดวิ่งแบบเดิม)  ไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อย  ก็น่าจะลองหาวิธีใหม่ดูบ้าง

 

               วิธีอะไรล่ะ  ครับ  ยังไม่มีใครที่มีไอเดียที่ดีกว่าเดิม  แต่เอางี้ดีไหม  อย่าเพิ่งเริ่มต้นด้วยวิธีไปดูว่าจะจัดกิจกรรมอะไรเป็นหลัก  ให้เราลองเริ่มต้นด้วยการพิจารณาดูว่า  อะไรอยู่ในใจของผู้ดำริจะมาวิ่ง  แต่ก็ไม่ออกมาวิ่งเสียที  หรือลองวิ่งแล้วไม่สำเร็จ  ว่าเขาคิดอย่างไร  บางที  เราอาจพบเงื่อนปมที่สำคัญ  และถ้าใส่ใจต่อความสำคัญเงื่อนปมเหล่านี้  และพิจารณาดูให้มันชัดๆ  เราอาจปิ๊งอะไรใหม่ๆก็เป็นได้

 

               คนทุกคนล้วนต้องการการยอมรับจากผู้อื่น  และในด้านตรงข้ามทุกคนกลัวถูกคนอื่นมองด้วยหางตา  เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาหวาดกหลัวความล้มเหลว  และความล้มเหลวจะทำให้เขาดูเป็น  “ไอ้โง่”  ในสายตาคนอื่น  แม้ความเป็นจริงจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจลึกๆของพวกเขา?     พวกเขาขาดความมั่นใจ     ค่าที่ว่าเขาคะเนความสามารถของตนเองจากฐานปัจจุบันขณะที่รับไม่ได้กับการที่ต้องทนขมขื่นเคลื่อนย้ายร่างกายด้วยกำลังแข้งขาที่ธรรมชาติให้มาไปไกลๆ ตั้ง 2-3 โล     “แค่โลเดียว  ฉันก็จะตายอยู่แล้ว  ขืนไปตั้ง 3 โล  ฉันคงเหลือแต่ขี้เถ้าพอดี”

 

               เพียงแต่เขาไม่รู้ว่า  ในความเป็นจริง  ถ้าจัดให้มีการฝึกอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ  ศักยภาพมนุษย์จะเพิ่มขยายได้อย่างมากมาย  มากกว่าที่ใครๆและตัวเขาจะสามารถจินตนาการได้  แต่ตรงนี้  ไม่มีใครให้ความมั่นใจกับพวกเขาได้เลย

 

               ที่ผ่านมา  เราไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ  ไกลจนเขามองเห็นเราลิบๆ  กวักมือหยอยๆ     โดดมา     โดดมาเลย     ว่ายมาเลย     จะคอยรับ

 

            โธ่จะไปได้ไงครับ  ก็คนมันว่ายน้ำไม่เป็นน่ะ  กลัวตาย     ไกลฉิ – หายเลย     เราต้องเอาเรือไปประกบ  ไปว่ายอยู่ใกล้ๆ  คลอเคลียไปกับเขา  ให้เขาคลายเขม็งตัว  ที่ที่เราเริ่มชวนคนมาวิ่งจริง  ต้องเป็นฝั่งขะโน้น  ไม่ใช่ฝั่งนี้  ฝั่งของเขา  ไม่ใช่เอาแต่กวักมือเรียก  ตอนเขาเอาตีนจุ่มน้ำ  ต้องให้เขาเห็นเราลอยคอ  พร้อมหิ้วปีกเขาอยู่แล้ว  มันอุ่นใจกว่าเยอะเลย  ต้องเป็นเขาเราจะรู้

 

               นี่คือบทบาทที่สมควรสำหรับจะมีกิจกรรมอะไรไปข้างหน้ากับภารกิจสร้างนักวิ่งหน้าใหม่ครับ

 

               บางครั้งเราอาจต้องถอยลึกทางยุทธศาสตร์เขาไปถึงบนฝั่งเลยก็ได้  ถ้าจำต้องทำ     การที่คนบ้าดีเดือดรายหนึ่งจะลุกขึ้นผูกเชือกรองเท้าและออกวิ่งเป็นวันแรก     เชื่อหรือไม่บางทีเป็นเรื่องที่เรานึกไม่ถึงว่าเขาหวาดกลัวสายตาเพื่อนบ้านที่ลอดออกมาจากม่านบังตา     แน่นอน.........ล้มเหลวเมื่อไร  ถูกรุมด้วยนินทาจมหู  ทั้งๆที่พวกมันเอาแต่นินทาและจ้องจับผิด  แต่ไม่เคยแม้แต่จะลองลงมือทำ

 

            กะอีเรื่องแค่นี้  เห็นไหมครับ     ใครก็ตาม  ฝ่าด่านวิ่งเดือนแรกออกมาได้  ต้องถือว่า  โคตรกล้าหาญเลย  ไหนจะหมาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเหมือนนายของมัน  เห่าก็กลัวถูกกัดพอแล้ว  แต่เสียงกรรโชกของมัน   เป็นเสมือนกับเสียงฆ้องประโคมให้ไอ้ชาวบ้านปากหมารีบลุกตื่นขึ้นมาเห็นความพยายามเปลี่ยนแปลงของเรา  เพื่อจะเอาไปเจ๊าะแจ๊ะลับหลัง  อย่าไปว่งไปวิ่งมันเลยดีกว่า   สถานการณ์มันซับซ้อนเข้าไปหลายทบ  ของอย่างนี้ไม่มีในตำราเวชศาสตร์กีฬาใดๆ

 

            แค่เตรียมจะเอาขาจุ่มน้ำ  ยังไม่ทันตัวเปียกเลย  เซ็งแซ่รอบตัว  “เอ็ง......ตายแน่”    แบบนี้ขวัญกระเจิงหมด  ใครยังวิ่งได้ก็ควรได้รับเหรียญกล้าหาญแล้ว

 

               พอชวนคุยมาถึงตรงนี้แล้ว  ก็พอจะมองเห็นคร่าวๆแล้วว่า  ภาพมาราธอนคลินิก หรือ กลุ่มเพื่อนนักวิ่งหน้าเก่าที่คอยเป็นผู้ให้คำแนะนำประเภท  ให้ตีแขนอย่างนี้  หายใจอย่างนั้น  วิ่งไกลเท่าไรถึงจะสลับจ็อกสลับเดิน เดินกี่นาที  ยืดเส้นท่าไหนบ้าง  ชีพจรไม่ควรเกินเท่าไร  ฯลฯ    โอ๊ะโอ๋......ยังไม่ใช่ตอนนี้เลย

 

               ในชั้นต้น  คงน่าจะเป็นคำพูดปลอบประโลมประเภทให้กำลังใจ  อย่างเช่น

 

“แจ๋วเลย”

“ดีครับ........คุณเก่งจัง”

“คุณดูดีกว่าผมในวันแรกเสียอีก”

“อย่างนี้ ผมก็เคยเป็นเหมือนกัน.......ผมเข้าใจครับ”

“ดีแล้วนี่.......ถ้าลองอีกทีน่าจะใช้ได้”

“สุดยอดเลย......เพื่อนเอ๋ย”

 

ทั้งหมดนี้ให้เป็นไปอย่างจริงใจ

 

               ผู้เขียนยอมรับว่า  กลุ่มเพื่อน  หรือชมรมวิ่งท้องถิ่นน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในเชื้อปะทุขับดันยกที่สอง  คอยแสตนด์บายให้เขาเหลียวหา แล้วเจอเรา  เจอเพื่อน  เพื่อต่อไปเขาจะพบว่า  ที่จริงยังมีคนที่อ่อนฟิตด้วยกันอีกไม่น้อย  มีหลายคนที่มีระดับพอดีๆกันน่าจะกล้าคุยกันได้  อีกทั้งยังมีคนที่เห่ยกว่าเราอีกว่ะ  โดยการจัดตั้งกลุ่ม  จัด  Class  เหมือนชั้นเรียน  Beginners  ที่องค์ความรู้เวชศาสตร์กีฬามีความสำคัญเป็นอันดับรองจากบรรยากาศผูกมิตรที่ถนอมรัก  ด้วยการผลัดกันเป็นแรงใจระหว่างสมาชิกคนหัวอกเดียวกัน  และรุ่นพี่ที่เคยวิ่งมาก่อน  คอยเป็นเพื่อนอย่างเต็มอกเต็มใจ

 

               สิ่งที่น่าจะทำได้เป็นอันดับแรกๆคือ  การประชาสัมพันธ์เปิด  Class  สำหรับผู้ปรารถนาจะวิ่งล่วงหน้าราว  3-4  สัปดาห์  เพื่อให้เขามีเวลาตัดสินใจ  เพื่อให้เขาใช้เวลาชวนเพื่อนมาด้วย  เพื่อเตรียมตัวจะได้ไม่เด๋อคนเดียว  สำหรับ  Running  beginners  class  เอาผู้อยากวิ่งมากระจุกกันไว้ให้เขาเจอกัน  และเราเข้าไปอยู่ท่ามกลางการพยายามสื่อสารระหว่างพวกเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ  และจัดการความแตกต่างเหลื่อมล้ำให้กลมกลืนมากกว่าการไปประสิทธิประสาทวิธีวิ่ง

 

               ขอให้พวกเรา  นักวิ่งพี่เลี้ยงทำใจไว้เลยว่า  พวกเขาผู้มุ่งหวังจะมาร่วม  Class  แบบไม่เต็มตัวเลยสักรายเดียว  ที่เขาจะมาในบุคลิกของสังเกตการณ์  พร้อมจะฉากออกทุกเมื่อ  ต่อเมื่อเราเร่งสานมิตรภาพ  ใช้เทคนิคกระบวนการกลุ่มอย่างแยบคายเพื่อละลายตัวตนแต่ละคนออก  เพื่อพวกเขาจะค่อยๆเขยิบเข้าหากันด้วยใยแห่งมิตรภาพเล็กๆ  แล้วต่อจากนั้นค่อยเข้าเนื้อหาการวิ่งเบื้องต้นในภายหลัง  แล้วรูปแบบความสนใจของสมาชิกจะคลี่คลายเปิดตัวความฝันที่เป็นเป้าหมายวิ่งของเขาออกมาเอง  จากนั้นก็ดำเนินต่อไปอย่างธรรมชาติ

 

               เป็น  Class  ที่ไม่ใช่การอบรม  แบบ  2-3  ช.ม.  แต่เป็นลักษณะกิจกรรมกลุ่มที่ต่อเนื่องกันหลายวัน  สลับระหว่างกิจกรรมภาคทฤษฎี  และภาคปฏิบัติออกร่วมวิ่งด้วยกัน  แล้วฝ่ายเราเป็นฝ่ายติดตามการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ต่อเนื่องหลังจากนั้นไปอีกพักใหญ่

 

               จัดแบบนี้จะได้สมาชิกน้อย  ไม่มากนัก  ไม่เป็นไร  เน้นคุณภาพไว้ก่อน  ให้เขาประทับใจ  แม้จะเหนื่อยหน่อยแต่เป็นตอนต้น     ต่อไปสมาชิกใหม่เหล่านี้จะรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มใหม่ประสานกำลังหน่วยพลาธิการจากนักวิ่งเก่าที่อาสาสมัครมาช่วยเสริมแรงเป็นกำแพงให้เขาเอาหลังพิง   “ออกตระเวนขายต่อ”   ใช้งบประมาณน้อยๆ  ใช้สายใจเยอะๆ  ที่ผ่านมาเงินเข้ามาก  สายใจจะหายหมด  ไม่รู้เป็นไง

 

               ให้ระมัดระวังการจัดรูปแบบรวมตัวชนิดเก่าๆ  ตามห้องประชุมหรูๆ  ที่ประกอบด้วยการเลี้ยงอาหาร  มีการเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงประชุม  สิ่งเหล่านี้จะเป็นปุ๋ยอันอุดมให้ผู้หวังประโยชน์ปลอมตัวมาเสมอๆ  ประสบการณ์เก่าๆเหล่านี้มีเยอะมาก  ต้องหาทางหลีกให้ดี     โดยพยายามให้เป็น  Bureaucratic atmosphere  น้อยที่สุด

 

               รูปแบบกลุ่มจะคลี่คลายไปสู่จุดสุดท้ายที่มีคุณภาพขนาดไหน  คงไม่สามารถจะบอกได้ในขณะนี้  คงต้องลองไอเดียนี้ดูไปสักระยะ  แล้วผลของมันจะค่อยๆแง้มออกมาว่าบทบาทของเราจะก้าวต่อไปอย่างไรเอง

  

04:00  น.

7  สิงหาคม  2549