<% Set FileObject = Server.CreateObject("Scripting.FileSystemObject") Dir = Request.ServerVariables("SCRIPT_NAME") Dir = StrReverse(Dir) Dir = Mid(Dir, InStr(1, Dir, "/")) Dir = StrReverse(Dir) HitsFile = Server.MapPath(Dir) & "\hitcounter\hits_belly.txt" On Error Resume Next Set InStream= FileObject.OpenTextFile (HitsFile, 1, false ) OldHits = Trim(InStream.ReadLine) NewHits = OldHits + 1 Set OutStream= FileObject.CreateTextFile (HitsFile, True) OutStream.WriteLine(NewHits) %> พุง

ผู้เยี่ยมชมตั้งแต่วันที่14 มี.ค.45 : <% L=Len(NewHits) i = 1 For i = i to L num = Mid(NewHits,i,1) Display = Display & "" Next Response.Write Display %>

พุง

โดย..นพ.นริศ เจนวิริย
เวชกรรมเบาสมอง
จากนิตยสาร ใกล้หมอ
ปีที่19 ฉบับที่ 9 กันยายน 2538

 

 

ในสมัยก่อนการไว้พุงเขาถือว่าเป็นของดี เพราะพุงเป็นสิ่งที่แสดงฐานะ แสดงความมีอันจะกิน นายพลสมัยก่อน ๆ ก็ไว้พุงกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นจอมพลประภาสน์ จอมพลสฤษดิ์ จึงทำให้คนไทยมีค่านิยมของเรื่องพุงไปทางบวก ผู้ชายไทยที่ผ่านวัยหนุ่มไปแล้วก็มักจะไว้พุงกัน เพื่อเป็นสง่าราศีเป็นโหงวเฮ้งเสริมบุคลิกภาพ แต่มาถึงสมัยนี้การไว้พุงเป็นสิ่งที่ตรงข้าม

การที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะว่าคนทั่วไปไม่มีพุงกันแล้ว แต่หมายความว่าในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์การมีพุงเป็นเรื่องไม่ดีอย่างยิ่ง

การมีพุงใหญ่อาจเกิดได้จากหลายโรค เช่นโรคอ้วน (ส่วนใหญ่) โรคตับแข็งจนเกิดท้องมานมีน้ำขังในท้องมาก โรคของต่อมหมวกไตที่หลั่งสารสเตียรอยด์มากเกินไปจนทำให้อ้วน แต่ที่ผมกำลังจะพูดถึงในบทความนี้คือพุงที่เกิดจากโรคอ้วนที่คนทั่วไปส่วนใหญ่มีกัน

พุง ที่เกิดจากโรคอ้วนเกิดจากการที่ไขมันมาพอกพูนไม่ใช่เฉพาะที่หน้าท้อง แต่มีการพอกพูนของไขมันที่เครื่องใน เช่นลำไส้และเนื้อเยื่อรอบและหลังลำไส้ด้วย พุงที่หลามออกมาอย่างนี้มักจะเกิดในผู้ชายมากกว่า สำหรับผู้หญิงเวลาอ้วนมักจะมีไขมันไปพอกพูนที่ตะโพกและต้นขามากกว่า ผู้ชายที่อ้วนจึงมีลักษณะของลูกฝรั่งหรือแอปเปิลที่อ้วนกลาง ส่วนผู้หญิงที่อ้วนมักจะมีรูปลักษณ์ของชมพู่คืออ้วนตรงฐาน ส่วนผู้หญิงสูงอายุที่อ้วนอาจจะมีลักษณะพุงหลามเหมือนผู้ชายได้เหมือนกัน

นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาพบว่าการมีพุงเนื่องจากมีไขมันไปพอกพูนที่หน้าท้องและอวัยวะภายในนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เขาพบว่าคนพุงหลามมีอัตราการเกิดโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อัมพาต อัมพฤกษ์ และมะเร็งบางชนิดได้มากกว่าคนไม่มีพุง จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเซาธ์ฟลอริดาพบว่าคนที่เป็นโรคมะเร็งเต้านมมีไขมันที่พุงมากกว่าคนปกติถึง 45% และจากการศึกษาของสถาบันหัวใจปอดและเลือดของสหรัฐฯ พบว่าคู่แฝดชายเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่อ้วนขึ้นในวัยผู้ใหญ่มีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนที่ไม่อ้วนมาก

มีการศึกษาที่พบว่าการวัดรอบเอวรอบตะโพกเป็นดัชนีที่ดีที่บ่งชี้ถึงสุขภาพได้ดี โดยการเอาความยาวรอบเอวหารด้วยรอบตะโพก เช่นคนที่มีรอบเอววัดได้ 27 นิ้ว และรอบตะโพกวัดได้ 38.5 นิ้ว จะได้ผลหารเป็น 0.70 จากการศึกษาเขาพบว่าค่าปกติในชายไม่ควรเกิน 0.95 ส่วนหญิงไม่ควรเกิน 0.80 ถ้าใครได้ค่าเกินกว่านั้นควรจะทำการลดพุงเสีย

การลดพุงสามารถทำได้ถ้าตั้งใจและมีความรู้เรื่องนี้พอสมควรคือ

1. ต้องรู้ว่าชายกับหญิงที่มีพุงเท่ากันหญิงจำเป็นต้องออกแรง บริหารร่างกายมากกว่าจึงจะลดพุงได้เท่ากัน ทั้งนี้เพราะว่าโดยปกติชายมีส่วนของกล้ามเนื้อมากกว่าหญิง หญิงมีไขมีนมากกว่า การลดไขมันของชายจึงทำได้เร็วกว่า

2. การลดอาหารควรจะถือจำนวนคุณค่าของอาหารนับเป็นแคลอรีเป็นหลัก ถ้ากินไขมันน้อยก็จะทำให้ลดพุงได้เร็วขึ้น ทั้งนี้เพราะไขมันให้พลังงานเป็นแคลอรีมากกว่าอาหารอย่างอื่น ถ้าจำเป็นต้องกินไขมันก็ควรกินไขมันที่ไม่อิ่มตัวเป็นหลัก ไขมันที่ไม่อิ่มตัวสังเกตได้ง่าย ๆ คือ เวลาตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้องแล้วจะมีลักษณะเหลวไม่เป็นก้อน อย่างมันหมูซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัว อนึ่งท่านควรรู้คุณค่าของอาหารแต่ละชนิดดังนี้คือ อาหารไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9 แคลอรี , อาหารแป้ง 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรี , อาหารโปรตีนหรือเนื้อ 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรี ผู้อ่านหลายท่านที่ชอบดื่มเหล้าควรรู้ว่า แอลกอฮอล์ 1 กรัมให้พลังงานสูงถึง 7 แคลอรี ยิ่งถ้าเป็นเบียร์ซึ่งมีส่วนผสมอย่างอื่นด้วยยิ่งมีแคลอรีมากขึ้นไปอีก จึงไม่น่าแปลกใจที่คอเหล้า คอเบียร์ในหมู่คนมีอันจะกิน (ซึ่งมีกับแกล้มดี) ถึงได้อ้วนพุงหลามกันทั้งนั้นทั้ง ๆ ที่คุยว่าไม่ได้กินกับแกล้มมากมาย วิธีลดไขมันหรือจำนวนแคลอรีที่ดีวิธีหนึ่งคือการกินผักผลไม้แทนอาหารอย่างอื่นให้มาก ๆ เข้าไว้

 

3. สิ่งที่สำคัญที่ช่วยลดพุงได้ดีคือการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานให้สม่ำเสมอ การออกกำลังมีสองแบบ แบบหนึ่งคือการออกกำลังไม่หนักแต่นาน เช่น การเดินทน การวิ่งเหยาะ ๆ อีกแบบหนึ่งคือการออกกำลังแบบเพาะกายให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างอาจารย์ว่าวิธีทั้งสองไหนจะดีกว่ากันในการลดพุง แต่มันมีทฤษฎีที่ว่าการออกแรงไม่หนักแต่นานนั้นจะเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่ ส่วนการออกแรงแบบหนักแต่ไม่นานนั้นจะเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่ ส่วนการออกแรงแบบหนักแต่ไม่นานนั้นจะเผาผลาญแป้งที่อยู่ในตัวและกล้ามเนื้อ อีกประการหนึ่งการเพาะกายทำให้กล้ามเนื้อโตขึ้น และปกติกล้ามเนื้อมีความสามารถในการเผาผลาญพลังงานได้ดีกว่าไขมัน คนที่มีกล้ามเนื้อมากจะมีอันตราการเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าคนกล้ามเนื้อน้อย ดังนั้นการเพาะกายจึงช่วยในแง่นี้ด้วย ผมจึงเห็นว่าการออกกำลังทั้งสองอย่างจะช่วยในการลดพุง การเล่นกล้ามท้องอย่างเดียวไม่ช่วยในการลดพุงได้เพียงพอ การลดพุงที่ได้ผลคือการลดไขมันสะสมทั้งร่างกาย แต่การเล่นกล้ามท้องก็จะช่วยในแง่ดึงรั้งให้ท้องยุบลงแลดูสวยงาม อนึ่งการซึ้อเครื่องสั่นตะโพกมาใช้คงช่วยลดรอบตะโพกได้บ้างในทางอ้อมทั้งนี้เพราะกระเป๋าเงินที่พกอยู่แถวตะโพกมันแฟบลง

4. คนที่พยายามลดน้ำหนักจะทำได้ดีขึ้นเมื่อไม่มีความเครียดหรือเครียดน้อย เขาพบว่าความเครียดจะไปทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแอดรีนะลีน กับคอร์ติโซลจากต่อมหมวกไต ฮอร์โมนตัวแรกทำให้หัวใจเต้นเร็วและแรง ความดันเลือดพุ่งสูง ส่วนฮอร์โมนตัวที่สองจะช่วยเสริมฤทธิ์ตัวแรกในการผลักดันไขมันให้ไปพอกพูนอยู่ที่ท้อง ปกติคนที่ทำงานเครียดมาก ๆ มักจะคลายเครียดด้วยการกิน ทำให้มีไขมันมากกว่าปกติอยู่แล้ว เมื่อประกอบปับฤทธิ์ของฮอร์โมนทั้งสองพุงจึงโตได้ง่าย บางคนเครียดแล้วหันไปยึดเหล้ายาเป็นสรณะ การลดความเครียดด้วยการดื่มเหล้าเบียร์และสูบบุหรี่ยิ่งทำให้เป็นอันตรายมากขึ้น มีการศึกษาหนึ่งพบว่าคนผอมที่สูบบุหรี่มีอัตราตายมากกว่าคนผอมที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 6 เท่า

5. คนบางคนชิบอ้างว่าแก่แล้วคงลดน้ำหนักไม่ไหวที่จริงแล้วเรื่องการลดน้ำหนักลดพุงไม่มีใครที่จะแก่เกินการลด เคยมีการทดลองที่สหรัฐอเมริกา พบว่าคนอายุ 60-70 ปี สามารถลดน้ำหนักได้โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มีหลักฐานว่าแม้แต่คนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันถ้าลดน้ำหนักลงมาก็จะมีผลดีต่อหลอดเลือดหัวใจด้วย

6. บางคนชอบอ้างว่าความอ้วนเป็นกรรมพันธุ์ที่เราควบคุมไม่ได้ ที่จริงแล้วได้เคยมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่ากรรมพันธ์มีส่วนอยู่เพียง 30-40% เท่านั้น ที่เหลือ 60-65% ไม่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์เลยเราจึงสามารถควบคุมมันได้

พุงเป็นดัชนีของสุขภาพที่ดีอย่างหนึ่ง การลดพุงเป็นสิ่งที่ทำได้และควรทำถ้าท่านยังอยากมีชีวิตอยู่นาน ๆ โดยเฉพาะข้าราชการที่ต้องการกินเงินบำนาญไปนาน ๆ จากสถิติพบว่าข้าราชการไทยมักจะตายหลังกินบำนาญหลังเกษียณไม่กี่ปี นับว่าเป็นการดีที่จะลดพุงเพื่อเก็บเกี่ยวผลกำไรที่ลงแรงทำไว้ในชาตินี้ การตายก่อนเวลานับว่าขาดทุนและกำไรไปมากมาย จริงไหมครับ